00:00:00 → 00:00:02 สวัสดีครับผมก็ได้ยินเรื่องของการใช้
00:00:02 → 00:00:05 ปัสสาวะในการรักษาโรคมานานพอสมควรแล้วนะ
00:00:05 → 00:00:07 ครับวันนี้ก็เลยอยากจะเอาเรื่องนี้มา
00:00:07 → 00:00:09 อธิบายให้ฟังนะครับว่าการใช้ปัสสาวะในการ
00:00:09 → 00:00:12 รักษาโรคนั้นมันมีที่มาที่ไปอย่างไรนะ
00:00:12 → 00:00:15 ครับมันจะได้ผลหรือเปล่าและมันมีอันตราย
00:00:15 → 00:00:18 อะไรหรือเปล่าถ้าเราจะใช้นะครับก็พบกับผม
00:00:18 → 00:00:20 นะครับนายแพทย์ธานีธนียวันเป็นอาจารย์
00:00:20 → 00:00:22 แพทย์อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเชี่ยวชาญ
00:00:22 → 00:00:25 โรคปอดการปลูกถ่ายปอดและวิกฤตบำบัดนะครับ
00:00:25 → 00:00:28 การใช้ปัสสาวะในการรักษานั้นเนี่ยมันมี
00:00:28 → 00:00:30 ที่มาที่ไปค่อนข้างที่จะยาวนานนะครับแล้ว
00:00:30 → 00:00:33 ก็มีหลายประเทศในโลกเรานะครับที่มีการใช้
00:00:33 → 00:00:37 ปัสสาวะในการรักษายกตัวอย่างเช่นอียิปต์
00:00:37 → 00:00:40 กรีกโรมันประเทศจีนประเทศอินเดียอเมริกา
00:00:40 → 00:00:45 อังกฤษนะครับมีทุกที่เลยนะครับแล้วที่อ่า
00:00:45 → 00:00:49 อินเดียเนี่ยมันก็จะมีนายกรัฐมนตรีคนนึง
00:00:49 → 00:00:52 ของอินเดียด้วยนะครับอยู่ในปี 1977 -
00:00:52 → 00:00:56 1979 นะครับแกใช้อ่าปัสสาวะมาดื่มกินใน
00:00:56 → 00:01:00 การรักษารู้สึกคนๆนี้ชื่ออ่าจิ des นะนะ
00:01:00 → 00:01:03 ครับแกก็เป็นคนหนึ่งที่โด่งดังนะครับว่า
00:01:03 → 00:01:06 เ้ยเป็นถึงขั้นนายกรัฐมนตรีแต่เอาตัว
00:01:06 → 00:01:09 เนี้ยมาใช้เลยนะฮะยังไงก็ตามการใช้
00:01:09 → 00:01:12 ปัสสาวะในการรักษาเนี่ยมันไม่ได้โด่งดัง
00:01:12 → 00:01:15 มากในตอนนั้นนะครับแต่ว่าคนๆนึงซึ่งทำให้
00:01:15 → 00:01:19 มีการใช้ปัสสาวะในการรักษาอย่างเยอะเลยนะ
00:01:19 → 00:01:22 ครับเป็นคนอังกฤษคนนึงนะครับซึ่งเชื่อใน
00:01:22 → 00:01:25 การใช้ธรรมชาติบำบัตนะครับหรือ Natural
00:01:25 → 00:01:28 path นั่นเองนะครับคนๆนี้ชื่อว่า John
00:01:28 → 00:01:31 Armstrong นะครับคุณจ Armstrong เนี่ยใน
00:01:31 → 00:01:33 ครอบครัวของเขามีการใช้ปัสสาวะในการรักษา
00:01:33 → 00:01:35 โรคต่างๆมากมายนะครับตั้งแต่เอามาทาตาม
00:01:35 → 00:01:37 ผิวหนังเพื่อที่จะรักษาผิวหนังอักเสบ
00:01:37 → 00:01:41 รักษาสิวอ่ารักษาแมลงสัตว์กัดต่อยนะครับ
00:01:41 → 00:01:44 เอามาแปลงในในปากเพื่อจะรักษาเหงือก
00:01:44 → 00:01:47 อักเสบป้องกันไม่ให้ฟันมันมีปัญหานะครับ
00:01:47 → 00:01:49 ดื่มกินเพื่อที่จะรักษาโรคต่างๆไม่ว่าโรค
00:01:49 → 00:01:52 ติดเชื้อโรคมะเร็งนะครับแล้วก็อ้างว่า
00:01:52 → 00:01:55 สามารถที่จะแก้ไขโรคเกิดลิ่มเลือดในร่าง
00:01:55 → 00:01:58 กายโรคหัวใจต่างๆได้นะครับแล้วคุณรู้มั้
00:01:58 → 00:02:01 ครับต่อจากกรณีเนี้ยมีคนเอามาฉีดเข้าร่าง
00:02:01 → 00:02:03 กายเพื่อที่จะหวังว่าผลของการฉีดมันน่าจะ
00:02:03 → 00:02:07 สูงกว่าผลจากการกินซะอีกนะครับเ่อคุณจห
00:02:07 → 00:02:10 อสองเนี่ยเค้าไปเอาที่มาที่ไปของสิ่ง
00:02:10 → 00:02:14 เหล่านี้จากไหนนะครับคือเขาคเอามาจากไบบ
00:02:14 → 00:02:16 นะครับโดยเตีความไบเบิลเนี่ยเป็นอีกแบบ
00:02:16 → 00:02:18 นึงเลยนะครับไบเบิลที่เขาเอามาตีความ
00:02:18 → 00:02:21 เนี่ยมาจากบทที่ 5 วรรค 15 ของเ่อคุณ
00:02:21 → 00:02:24 โซโลมอนนะครับซึ่งจริงๆผมก็ไม่เคยไปอ่าน
00:02:24 → 00:02:27 นะครับจนกระทั่งลองค้นดูซิว่ามันมีที่มา
00:02:27 → 00:02:29 ที่ไปอย่างไรไอ้บทเนี้ยเค้าเขียนไว้ว่า
00:02:29 → 00:02:31 อย่างนี้ครับผมจะอ้างอิงสิ่งที่ผมเปิดไว้
00:02:31 → 00:02:35 เลยนะครับก็คือบอกว่า drinking waters
00:02:35 → 00:02:37 out of thine own cistern and
00:02:38 → 00:02:39 Running waters out of thine own
00:02:39 → 00:02:43 Well มันหมายความว่าให้เราดื่มน้ำที่มัน
00:02:43 → 00:02:47 มาจากแหล่งเก็บน้ำของเราเองแล้วก็ใช้น้ำ
00:02:47 → 00:02:50 ที่มันมาจากบ่อน้ำของเราเองนะครับโดยเค้า
00:02:50 → 00:02:53 ก็คิดว่าไอ้เนี่ยแหละที่มันเป็นการที่ใน
00:02:53 → 00:02:56 ทางไบเบิลเนี่ยพยายามบอกให้เราใช้ปัสสาวะ
00:02:56 → 00:03:00 ของเราเนี่ยดื่มเข้าไปนะครับเออเขเก็คิด
00:03:00 → 00:03:02 ไปได้แบบนั้นนะครับแต่จริงๆแล้วในบทอัน
00:03:02 → 00:03:05 นี้เนี่ยมันเป็นคำเปรียบเทียบที่พยายามจะ
00:03:05 → 00:03:09 บอกว่าเอ่อเราควรจะซื่อสัตย์ต่อสามีภรรยา
00:03:09 → 00:03:12 ของตัวเองนะครับอ่าคือถ้าเราจะใช้ก็จะใช้
00:03:12 → 00:03:15 จะมีสัมพันธ์อะไรก็กับภรรยากับสามีของตัว
00:03:15 → 00:03:17 เองเท่านั้นนะครับนี่เป็นบทที่เขาต้องการ
00:03:17 → 00:03:20 สื่อสารแต่ว่าคุณอสองเนี่ยเคก็แปลไปอีก
00:03:20 → 00:03:23 แบบหนึ่งนะครับเป็นแบบนี้นะ
00:03:23 → 00:03:26 ฮะมันโด่งดังขึ้นมาได้เพราะว่าหนังสือ
00:03:26 → 00:03:29 เล่มนึงที่เขาเขียนนะครับหนังสือเล่ม
00:03:29 → 00:03:32 เนี้ยมีชื่อว่าเ่อ the water of Life
00:03:32 → 00:03:35 a trea is on urine therapy นะครับ
00:03:35 → 00:03:38 เรื่องนี้เนี่ยเป็นเรื่องที่ทำให้วงการ
00:03:38 → 00:03:40 ดื่มปัสสาวะเนี่ยหรือการใช้ปัสสาวะในการ
00:03:40 → 00:03:43 รักษาโรคเนี่ยโด่งดังมากๆแล้วก็มีคนหลาย
00:03:43 → 00:03:46 คนที่ดื่มปัสสาวะเนี่อ้างอิงหนังสือของคน
00:03:46 → 00:03:48 ๆนี้นะครับหลังจากนั้นก็มีคนพยายามจะ
00:03:48 → 00:03:51 เขียนหนังสืออะไรออกมาอีกมากมายนะครับใน
00:03:51 → 00:03:54 อินเดียก็มีในจีนอะไรก็มีใช้กันนะครับก็
00:03:54 → 00:03:57 เลยเป็นที่มาที่ไปของการที่บางคนพยายามจะ
00:03:57 → 00:03:59 ใช้ตัวเนี้ยเป็นสิ่งในการรักษาโรคโดยโย
00:04:00 → 00:04:02 บอกว่ามันก็เป็นธรรมชาติของร่างกายมนุษย์
00:04:02 → 00:04:04 อยู่แล้วที่มีการสร้างสารเหล่านี้ออกมานะ
00:04:04 → 00:04:07 ครับเราก็เลยเอามันมาใช้เป็นประโยชน์แล้ว
00:04:07 → 00:04:10 ก็จะอ้างว่านี่เห็นมว่าต่างประเทศก็มีคน
00:04:10 → 00:04:12 ใช้กันแล้วมันก็ใช้กันมาอย่างยาวนานเค้า
00:04:12 → 00:04:14 ไม่เห็นจะเป็นอะไรเรักษาโรคต่างๆได้
00:04:14 → 00:04:17 สุขภาพดีคนอังกฤษก็ยังใช้นะครับแอฟริกา
00:04:17 → 00:04:21 อเมริกานะครับจีนอินเดียมีหมดทุกอย่าง
00:04:21 → 00:04:25 อียิปต์อะไรอย่าเงี้ยนะครับแล้วทีนี้
00:04:25 → 00:04:28 สำหรับคนรุ่นปัจจุบันเราก็ต้องมาอยากรู้
00:04:28 → 00:04:31 เหตุผลว่าเฮเฮ้ยมันได้ผลอย่างนั้นจริงๆ
00:04:31 → 00:04:33 หรือเปล่านะครับแล้วเราจะทำยังไงให้เรา
00:04:33 → 00:04:35 รู้ว่ามันได้ผลจริงหรือไม่จริงเราก็ต้อง
00:04:35 → 00:04:38 มันทราบก่อนว่าปัสสาวะของเราเนี่ยมันมี
00:04:38 → 00:04:41 ที่มาที่ไปอย่างไรแล้วมันมีอะไรเป็นส่วน
00:04:41 → 00:04:45 ประกอบในนั้นบ้างนะครับต้องบอกอย่างงี้
00:04:45 → 00:04:48 ร่างกายของเราเนี่ยมันมีเลือดปริมาณหนึ่ง
00:04:48 → 00:04:50 ใช่มั้ยครับเลือดมันจะมาที่ไตแล้วที่ไต
00:04:50 → 00:04:54 เนี่ยจะมีการกรองเอาของเสียต่างๆออกไปนะ
00:04:54 → 00:04:56 ครับแล้วบางส่วนเนี่ยมันไม่ใช่ของเสีย
00:04:56 → 00:04:58 หรอกครับแต่ว่ามันเป็นสิ่งที่รั่วออกไป
00:04:58 → 00:05:02 ทางไตเหมือนกันนะนะครับโดยเวลาที่ไตเราจะ
00:05:02 → 00:05:04 กรองของเสียออกมาเนี่ยมันจะต้องมีน้ำเป็น
00:05:04 → 00:05:07 ส่วนประกอบด้วยก็คล้ายๆกับเวลาที่เรามี
00:05:07 → 00:05:12 สิ่งปนเปื้อนที่มือแล้วเราต้องการชำระมัน
00:05:12 → 00:05:15 ออกไปจากมือเราเราจะไปเอามันออกมาเฉยๆมัน
00:05:15 → 00:05:17 ไม่ค่อยได้ถูกมั้ยครับเวลาที่เราล้างสบู่
00:05:17 → 00:05:20 มันก็ต้องมีน้ำเป็นส่วนประกอบมันถึงจะ
00:05:20 → 00:05:23 สามารถเอาสิ่งสกปรกเนี่ยออกไปจากมือของ
00:05:23 → 00:05:25 เราได้นะครับร่างกายของเราก็เหมือนกัน
00:05:25 → 00:05:27 เวลาที่เราจะขับสิ่งสกปรกเนี่ยมันจะต้อง
00:05:27 → 00:05:30 มีน้ำปนออกมานะครับมันจะไม่สาสามารถขับ
00:05:30 → 00:05:32 สิ่งสกปรกหรือสิ่งที่มันเป็นพิษน่ะออกมา
00:05:32 → 00:05:35 ตรงๆโดยที่ไม่มีน้ำได้นะครับมันก็เลยทำ
00:05:35 → 00:05:38 ให้ปัสสาวะของเราเนี่ยมีน้ำเป็นส่วน
00:05:38 → 00:05:41 ประกอบถึง 95% เลยทีเดียวนะครับรองลงมา
00:05:41 → 00:05:45 จากนั้นก็คือสารยูเรียซึ่งมีประมาณสัก 2-3
00:05:45 → 00:05:48 per นะครับยูเรียเนี่ยมันเป็นความชาน
00:05:48 → 00:05:51 ฉลาดของร่างกายอย่างหนึ่งที่ใช้ในการขับ
00:05:51 → 00:05:53 สิ่งที่มันเป็นพิษมากๆออกมาจากร่างกาย
00:05:53 → 00:05:56 นั่นก็คือแอมโมเนียนะครับตัวแอมโมเนีย
00:05:56 → 00:05:59 เกิดจากการย่อยสลายโปรตีนในร่างกายนะครับ
00:05:59 → 00:06:02 แต่ว่าแอมโมเนียเราจะขับมันออกมาตรงๆไม่
00:06:02 → 00:06:04 ได้เพราะว่าแอมโมเนียเวลามันถูกสร้างขึ้น
00:06:04 → 00:06:06 มาแล้วเนี่ยมันเป็นพิษมากเลยต่อระบบ
00:06:06 → 00:06:09 ประสาทของเรานะครับดังนั้นร่างกายจึงเอา
00:06:09 → 00:06:11 แอมโมเนีย 2 โมเลกุลมารวมกันกลายเป็น
00:06:11 → 00:06:14 ยูเรียซึ่งมีพิษน้อยกว่าแล้วมันก็ละลาย
00:06:14 → 00:06:16 น้ำได้ค่อนข้างดีทำให้สามารถขับออกมาทาง
00:06:16 → 00:06:20 ปัสสาวะได้นะครับสารชนิดที่ 3 ที่มีความ
00:06:20 → 00:06:24 เข้มข้นรองลงมาก็คือคอินนะครับเตินเนี่ย
00:06:24 → 00:06:26 ถ้าเกิดว่าคนไหนที่ไปตรวจร่างกายตรวจ
00:06:26 → 00:06:30 เลือดก็คงจะรู้ว่ามันคือค่าค่าค่า 1 ซึ่ง
00:06:30 → 00:06:32 เราเอาไว้ดูว่าการทำงานของไตมันเป็นยังไง
00:06:32 → 00:06:34 บ้างนะครับแต่ไตมันก็ขับเตีนออกมาด้วย
00:06:35 → 00:06:37 เหมือนกันนะครับเตีนตัวนี้มันมาจากการ
00:06:37 → 00:06:40 สลายของกล้ามเนื้อนะครับก็จะเป็นตัวถัดมา
00:06:40 → 00:06:44 ที่ออกมานะครับมันอยู่ที่ประมาณซัก 1%
00:06:44 → 00:06:46 ต่อปัสาวะที่ออกมาดังนั้นเราจะเห็นว่าน้ำ
00:06:46 → 00:06:49 เนี่ยมี 95% โดยประมาณนะครับมียูเรียซัก
00:06:49 → 00:06:53 ประมาณ 2-3 per อ่ะก็ถึงว่า 97 98% ละ
00:06:53 → 00:06:56 อันที่ 3 ก็มีครีตินินสักประมาณ 1% นะ
00:06:56 → 00:07:00 ครับก็จะประมาณสัก 98 99% ละไอ้ที่เหลือ
00:07:00 → 00:07:02 1-2 เพของปัสสาวะเนี่ยมันคืออะไรกันแน่
00:07:03 → 00:07:06 นะครับส่วนใหญ่แล้ว 1-2 per ที่เหลือ
00:07:06 → 00:07:08 เนี่ยมันก็คือเป็นเกลือแร่ต่างๆเช่น
00:07:08 → 00:07:12 โซเดียมคลอไรด์ฟอสเฟตซัลเฟตแมกนีเซียมพวก
00:07:13 → 00:07:16 นี้นะครับแล้วก็ยังมีสารอื่นๆอีกเล็กน้อย
00:07:16 → 00:07:19 ที่ออกมาเช่นโปรตีนนะครับโดยบางคนอาจจะ
00:07:19 → 00:07:21 เคยได้ยินว่าเอ๊ะมันมีโปรตีนรั่วใน
00:07:21 → 00:07:24 ปัสสาวะแล้วทำให้เป็นโรคต่างๆได้นะครับ
00:07:24 → 00:07:26 ซึ่งก็จริงนะครับถ้าเรามีโรคไตโปรตีนก็จะ
00:07:26 → 00:07:29 รั่วออกมามากขึ้นนะครับโรคเนฟโฟรติกโรคไต
00:07:29 → 00:07:32 วายอย่างเงี้ยนะฮะไตก็จะทำให้เกิดการรั่ว
00:07:32 → 00:07:34 ของโปรตีนออกมานะครับโดยทั่วไปโปรตีนที่
00:07:34 → 00:07:37 มันออกมาในปัสสาวะเนี่ยมันก็จะมีอยู่ที่
00:07:37 → 00:07:40 ประมาณสัก 40-80 มิลกรัมต่อวันนะครับแต่
00:07:40 → 00:07:43 ว่าในคนที่มีโรคไตมันอาจจะรั่วมากกว่า
00:07:43 → 00:07:46 นั้นก็ได้นะครับนั่นคือปัญหานะแต่เราถือ
00:07:46 → 00:07:48 ว่าโอเคคนทั่วไปมันไม่ได้รั่วมากนะครับ
00:07:48 → 00:07:50 มันรั่วออกมานิดเดียวนะครับโปรตีนส่วนมาก
00:07:50 → 00:07:52 ที่รั่วออกมาก็จะเป็นอัลบูมินนะครับหรือ
00:07:52 → 00:07:54 โปรตีนไข่ขาวของเรานั่นเองนะครับแต่มันจะ
00:07:54 → 00:07:58 ออกมาไม่เยอะนะฮะทีนี้ตัวพิเศษเนี่ยมัน
00:07:58 → 00:08:02 อยู่ในนี้ครับบางอย่างมันออกมากับปัสาวะ
00:08:02 → 00:08:05 ด้วยเช่นอะไรบ้าง 1 สเตมเซลล์
00:08:05 → 00:08:08 เออสเตมเซลล์เนี่ยมันเป็นสเต็มเซลล์ที่
00:08:08 → 00:08:11 อยู่ในทางเดิมปัสสาวะแล้วมันก็เคยมีคนคิด
00:08:11 → 00:08:14 ว่าเราอาจจะเอาสเต็มเซลล์ตัวเนี้ยมาใช้ใน
00:08:14 → 00:08:17 การซ่อมแซมไต่หรือทางเดิมปัสสาวะก็ได้
00:08:17 → 00:08:19 แล้วมันก็เก็บง่ายเสียด้วยก็คือมันออกมา
00:08:19 → 00:08:21 ทางปัสสาวะเลยถูกมั้ยครับมันไม่จำเป็นจะ
00:08:21 → 00:08:24 ต้องไปเจาะไขกระดูกเจาะเลือดเหมือนกรณี
00:08:24 → 00:08:27 ที่เราบริจาคสเตมเซลล์เพื่อที่จะเอาไปอ่า
00:08:27 → 00:08:29 ปลูกถ่ายไขกระดูกในกรณีนั้นเลยก็เก็บมา
00:08:29 → 00:08:31 จากปัสสาวะเราเลยนี่แหละนะครับมันจะได้
00:08:31 → 00:08:36 ง่ายดีก็มีคนคิดแบบนั้นนะครับต่อมามีสาร
00:08:36 → 00:08:40 บางอย่างนะครับที่อ่าออกมากับปัสสาวะเช่น
00:08:40 → 00:08:42 โปรตีนของมะเร็งบางอย่างนะครับซึ่งเดี๋ยว
00:08:42 → 00:08:44 ผมจะได้เล่าให้ฟังว่าเค้าเอาไปทำอะไรนะ
00:08:44 → 00:08:47 ครับหรือถ้าใครกลินยานะครับมันก็จะมียา
00:08:47 → 00:08:49 บางตัวเนี่ยขับออกมาทางปัสสาวะเช่น
00:08:49 → 00:08:53 เพนิซิลินนะครับฮอร์โมนเช่นอ่าเอสโตรเจน
00:08:53 → 00:08:55 ของผู้หญิงเนี่ยก็จะขับออกมาทางปัสสาวะ
00:08:55 → 00:08:58 ได้มีสารบางอย่างในการฆ่าเชื้อนะครับอ่า
00:08:58 → 00:09:02 ตัวนี้ชื่อเิกอกอนะครับถ้าเกิดใครฟังผม
00:09:02 → 00:09:05 บ่อยๆอาจจะคุ้นคำๆนี้เิกอกอนี่มันอยู่ที่
00:09:05 → 00:09:09 ไหนอยู่ในคลิปเรื่อง manuka honey นะ
00:09:09 → 00:09:12 ครับในน้ำผึ้ง manuka เนี่ยมันมีสารเิ
00:09:12 → 00:09:15 กอกอนะครับซึ่งเป็นสารที่เอาไว้ใช้ค่า
00:09:15 → 00:09:18 เชื้อนะครับค่อนข้างที่จะดีแล้วก็เวลาที่
00:09:18 → 00:09:20 เราเลือกซื้อน้ำผึ้งมานูก้าเนี่ยเรายังดู
00:09:20 → 00:09:24 ค่าว่าเอ๊ะมันมีเิกอมากน้อยแค่ไหนอยู่ใน
00:09:24 → 00:09:27 นั้นเลยนะครับก็อันในคนก็มีเหมือนกันนะฮะ
00:09:27 → 00:09:31 มันก็เป็นผลจากการอ่าสลายอ่าคาร์โบไฮเดรต
00:09:31 → 00:09:34 นะก็แล้วก็ออกมาเป็นตัวนี้นะครับนอกเหนือ
00:09:34 → 00:09:36 จากนั้นก็อาจจะมีกลูโคสเพิ่มเป็นน้ำตาล
00:09:36 → 00:09:38 ออกมาทางปัสวะบ้างแล้วก็สารอย่างอื่นอีก
00:09:38 → 00:09:40 เล็กน้อยนะครับทั้งหมดเรวมอยู่ที่ประมาณ
00:09:40 → 00:09:44 สัก 1-2 per อ่าแล้วก็โอ้ลืมลืมสารตัว
00:09:44 → 00:09:47 นึงไปไม่ได้ตัวนี้ชื่อว่ายูโรคนะครับเป็น
00:09:47 → 00:09:51 สารที่เอาไว้สลายลิ่มเลือดได้นะครับอ่าก็
00:09:51 → 00:09:54 เลยมีคนเอามาใช้กันนะนั้นทั้งหมดเนี่ยก็
00:09:54 → 00:09:56 คือสารที่อยู่ในปัสสาวะแต่แน่นอนอาจจะมี
00:09:56 → 00:10:00 บางอย่างที่มันปนมาจากนั้นอีกนะครับ
00:10:00 → 00:10:04 เออเออใช่ๆลืมไปเรื่องนึงคุณรู้มว่าทำไม
00:10:04 → 00:10:06 ปัสสาวะของเราถึงมีสี
00:10:06 → 00:10:10 เหลืองอ่าการที่มันมีสีเหลืองเนี่ยนะครับ
00:10:10 → 00:10:12 มันเกิดจากการที่ร่างกายของเราสลายเม็ด
00:10:12 → 00:10:15 เลือดแดงแล้วก็สลายตัวฮีโมโกลบินในเม็ด
00:10:15 → 00:10:18 เลือดแดงเป็นสารออกมาหลายตัวนะครับหนึ่ง
00:10:18 → 00:10:21 ในตัวนึงตัวนั้นที่ออกมาทางปัสสาวะก็คือ
00:10:21 → 00:10:24 สารที่เรียกว่ายูโรคนะครับยูโรคตัวเนี้ย
00:10:24 → 00:10:28 จะมีสีเหลืองนะครับอ่าแต่แน่นอนบางส่วน
00:10:28 → 00:10:31 ที่มันสลายไอ้ตัวฮีโมโกบินเนี่ยมันก็จะไป
00:10:31 → 00:10:35 ออกทางน้ำดีนะครับอ่าออกทางน้ำดีเช่นสาร
00:10:35 → 00:10:38 บี่ rubin นะครับบดิซึ่งพวกเนี้ยนะครับไป
00:10:38 → 00:10:40 ทางน้ำดีซะเป็นส่วนใหญ่แต่ว่าไม่ออกมาใน
00:10:40 → 00:10:42 ปัสสาวะนะถ้าออกมาก็ออกมานิดเดียวนะครับ
00:10:42 → 00:10:46 ก็มีบ้างในบางคนนะครับทีนี้พอเรารู้แล้ว
00:10:46 → 00:10:50 ว่าส่วนประกอบของปัสสาวะของเรามันคืออะไร
00:10:50 → 00:10:52 เราก็ต้องมาเข้าใจแล้วว่าโอเคเรารู้แล้ว
00:10:52 → 00:10:55 ส่วนประกอบของปัสาวะเรามีอะไรมีแค่ไหนมัน
00:10:55 → 00:10:58 ใช้ในการรักษาโรคได้จริงอย่างที่คนที่เไป
00:10:58 → 00:11:01 ใช้บอกหรือเปล่านะครับขอเริ่มที่กรณีแรก
00:11:01 → 00:11:05 ก่อนโรคผิวหนังนะครับคนที่ใช้ปัสสาวะใน
00:11:05 → 00:11:06 การรักษาโรคผิวหนังเนี่ยเค้าก็จะยกตัว
00:11:06 → 00:11:11 อย่างเช่นใช้ในการรักษาผิวแห้งรังแคได้ผล
00:11:11 → 00:11:15 โดยเค้าก็จะอ้างว่ามันมีสารยูเรียนี่ไงนะ
00:11:15 → 00:11:18 ครับยูเรียสามารถแก้ไขปัญหาพวกนี้ได้
00:11:18 → 00:11:20 เพราะว่าในทางการแพทย์จริงๆเราก็มีการใช้
00:11:20 → 00:11:23 ยูเรียไปผสมในครีมเครื่องสำอางชนิดต่างๆ
00:11:23 → 00:11:27 นะครับยูเรียเนี่ยเวลาผสมในครีมเวทสำอาง
00:11:27 → 00:11:31 ต่างๆเนี่ยมันจะอยู่ที่ประมาณสัก 10 -30%
00:11:31 → 00:11:34 นะครับโดยยูเรียมีคุณสมบัติในการให้ความ
00:11:34 → 00:11:37 ชุ่มชื้นกับผิวหนังนะครับทำให้มีการผลัด
00:11:37 → 00:11:40 เซลล์นะครับแล้วก็ลดการอักเสบได้นะครับ
00:11:40 → 00:11:43 อันนี้เป็นคุณสมบัติของยูเรียนะครับแต่
00:11:43 → 00:11:46 ว่ามันจะต้องมีความเข้มข้น 10 -30% เท่า
00:11:46 → 00:11:49 นั้นในปัสสาวะเมื่อกี้รียเรามีกี่
00:11:49 → 00:11:52 เปอร์เซ็นต์ยูรเรามีแค่ 2 -3% เท่านั้น
00:11:52 → 00:11:54 เองนะครับดังนั้นแทบจะไม่ได้ผลอะไรเลยนะ
00:11:54 → 00:11:57 ฮะงั้นการที่เอามาใช้กับผิวหนังเนี่ยมัน
00:11:57 → 00:12:00 ก็อาจจะไม่ได้ผลก็ได้นะครับต่อมามีคนเอา
00:12:00 → 00:12:03 มาใช้ในการรักษาสิวโดยบอกว่าเออด้วยความ
00:12:03 → 00:12:05 เป็นกรดของปัสสาวะของเราเนี่ยมันจะสามารถ
00:12:05 → 00:12:08 ทำให้สิวมันฝ่อมันแห้งไปได้นะครับก็ต้อง
00:12:08 → 00:12:10 บอกว่าอย่างงั้นทำไมเราไม่ใช้กรดตรงๆเลย
00:12:10 → 00:12:12 เอาไปเอาน้ำส้มใายชูมาทาสิวมันก็น่าจะหาย
00:12:12 → 00:12:15 เหมือนกันถูกมั้ยฮะถ้ามันอ้างความเป็นกรด
00:12:15 → 00:12:16 แต่ว่าจริงๆมันก็ใช้ไม่ได้ครับความเป็น
00:12:17 → 00:12:19 กรดเนี่ยไม่สามารถใช้ในการรักษาสิวได้
00:12:19 → 00:12:22 แล้วมันก็อาจจะเกิดการกัดผิวตรงนั้นก็ได้
00:12:22 → 00:12:25 นะครับนอกเหนือจากนั้นไม่ใช่แค่นั้นครับ
00:12:25 → 00:12:28 ในปัสสาวะของเราเนี่ยมันก็มีเชื้อโรคปน
00:12:28 → 00:12:32 อยู่ในนั้นอ่าคนที่ใช้ปัสสาวะในการรักษา
00:12:32 → 00:12:35 ก็จะบอกว่าเอ๊ะคนเรากรองเอาออกมาจากเลือด
00:12:35 → 00:12:39 มันต้องเป็นสิ่งที่ไร้เชื้อโรคหรือ
00:12:39 → 00:12:43 สเตอไรด์ไม่จริงครับมันจริงแค่บางส่วนคือ
00:12:43 → 00:12:46 ตอนที่มันกรองออกมาจากไตใหม่ๆเนี่ยเป็น
00:12:46 → 00:12:49 ปัสสาวะในตอนแรกเนี่ยโอเคมันปลอดเชื้อมัน
00:12:49 → 00:12:51 ไม่มีเชื้อแต่เมื่อไหร่ก็แล้วแต่ที่มัน
00:12:51 → 00:12:54 วิ่งมาจนถึงท่อปัสสาวะของเราหรือที่เรา
00:12:54 → 00:12:57 เรียกว่ายูรีนะครับก็คือในองชาติของผู้
00:12:57 → 00:13:00 ชายหรือในผู้หญิงก็จะตรงใกล้ๆบริเวณ
00:13:00 → 00:13:02 อวัยวะเพศตรงนั้นเนี่ยที่มันออกมานั่น
00:13:02 → 00:13:05 แหละครับที่มันจะเจอปนเชื้อโรคในบริเวณ
00:13:05 → 00:13:07 นั้นมาได้ดังนั้นถ้าเกิดว่าคุณเอามาทาตรง
00:13:07 → 00:13:10 บริเวณผิวหนังที่มันมีการอักเสบแล้วล่ะก็
00:13:10 → 00:13:12 มันอาจจะมีการกัดบริเวณผิวหนังนะครับแล้ว
00:13:12 → 00:13:14 เชื้อโรคเหล่านั้นก็สามารถที่จะเข้าสู่
00:13:14 → 00:13:16 ผิวหนังได้โดยตรงเป็นอันตรายทำให้ผิวหนัง
00:13:16 → 00:13:19 ยิ่งอักเสบเข้าไปใหญ่นะครับถ้าเกิดว่าคน
00:13:19 → 00:13:24 ไหนเคยดูแลคนไข้ติดเตียงจะทราบข้อนี้ดีก็
00:13:24 → 00:13:27 คือหลายคนที่ปัสสาวะแล้วไม่รู้ตัวแล้วก็
00:13:27 → 00:13:31 จะนอนแช่อยู่ในปัสสาวะนานๆเนี่ยเราจะเห็น
00:13:31 → 00:13:35 ว่าบริเวณที่เขาโดนปัสสาวะไปเนี่ยมันเป็น
00:13:35 → 00:13:38 ผื่นเลยเป็นผื่นแดงยุ่ยเลยนะครับแล้วก็
00:13:38 → 00:13:41 สามารถติดเชื้อได้นะครับนะแล้วบางทีเราก็
00:13:41 → 00:13:44 เคยเจอคนที่เขาแบบติดเตียงนานๆแล้วก็เกิด
00:13:44 → 00:13:47 แบบเฮ้ยทำไมอยู่ๆมีติดเชื้อ้วกระแสเลือด
00:13:47 → 00:13:51 ได้ปรากฏว่าเราไปตรวจเจอว่าอ๋อมันมีการ
00:13:51 → 00:13:54 ติดเชื้อในทางเดิปัสสาวะแฮะแล้วถามว่าการ
00:13:54 → 00:13:56 ติดเชื้อในทางเดิมปัสสาวะเชื้อมันมาจาก
00:13:57 → 00:14:00 ไหนล่ะมันก็มาจากจากไอ้ท่อปัสสาวะแล้วก็
00:14:00 → 00:14:02 บริเวณอวัยวะเพศของเรานั้นแหละแล้วถ้า
00:14:02 → 00:14:05 ปัสสาวะมันอยู่ตรงนั้นนานๆโดยที่ไม่มีการ
00:14:05 → 00:14:07 ขับทิ้งออกมาเนี่ยเชื้อโรคมันก็สามารถ
00:14:07 → 00:14:10 เดินๆขึ้นไปอยู่ในกะพปัสาวะของเราแล้วก็
00:14:10 → 00:14:13 เข้าสู่ไตเข้าสู่กระแสเลือดของเราได้นะ
00:14:13 → 00:14:15 ครับนั่นก็คือปัญหาอย่างหนึ่งซึ่งเราเจอ
00:14:15 → 00:14:20 นะครับทีนี้คนที่เอามาแปรงฟันเอามาใส่ไว้
00:14:20 → 00:14:22 ที่ตรงเหงือกที่มันอักเสบก็เหตุผลอย่าง
00:14:22 → 00:14:23 เดียวกันมันเป็นกรดมันไปกัดตรงนั้นได้
00:14:23 → 00:14:25 เหมือนกันแล้วมันก็มีเชื้อโรคด้วยที่
00:14:25 → 00:14:27 สำคัญไม่ว่าคุณจะเก็บปัสสาวะอย่างไรก็ตาม
00:14:27 → 00:14:30 นะครับก็จะมีเชื้อโรคนะครับโดยคนที่เค้า
00:14:30 → 00:14:33 ดื่มปัสสาวะเนี่ยเค้าจะบอกอย่างนี้ครับ
00:14:33 → 00:14:37 ว่าให้เราเลือกปัสสาวะในตอนเช้าที่มันมี
00:14:37 → 00:14:39 การค้างว่าทั้งคืนถูกมั้ยครับมันจะได้มี
00:14:40 → 00:14:43 ความเข้มข้นสูงจะได้มีสารที่ดีสูงมากๆนะ
00:14:43 → 00:14:47 ครับแล้วก็ต้องเอาปัสสวะในส่วนกลางกลาง
00:14:47 → 00:14:50 คืออะไรเหมือนวิธีในการเก็บทางการแพทย์
00:14:50 → 00:14:53 เราจะเรียกว่า midstream Catch นะครับ
00:14:53 → 00:14:55 คือเวลาที่เราปัสสาวะเนี่ยทั้งลำเนี่ยตอน
00:14:55 → 00:14:57 แรกๆนะครับเราต้องปล่อยทิ้งอไปก่อนเพราะ
00:14:57 → 00:14:59 ว่ามันจะได้ชะล้างความสกสกปรกที่อยู่ใน
00:14:59 → 00:15:02 ท่อทางเดิมปัสสาวะของเราไปพอปัสสาวะสัก
00:15:02 → 00:15:04 พักนึงระหว่างที่เรายังปัสสาวะไม่เสร็จ
00:15:04 → 00:15:08 ตอนนั้นน่ะให้รีบเก็บนะครับให้เก็บหลัง
00:15:08 → 00:15:10 จากนั้นพอปัสสาวะมันใกล้จะหมดเราต้องทิ้ง
00:15:10 → 00:15:12 ไปเหมือนกันนะครับและเอาตรงเนี้ย
00:15:12 → 00:15:15 midstream แชมาใช้เพราะว่าโอเคตอนแรก
00:15:15 → 00:15:18 ปัสสาวะอาจจะล้างเอาเอาเชื้อโรคเอาอะไร
00:15:18 → 00:15:20 ออกไปหมดแล้วตอนสุดท้ายอาจจะมีเชื้อโลกปน
00:15:20 → 00:15:23 ก็ไม่เอาเอาเฉพาะตรงกลางเท่านั้นแหละนะ
00:15:23 → 00:15:25 ครับไม่มีเชื้อโรคไม่มีตะกอนไม่มีอะไรเจอ
00:15:25 → 00:15:29 ป่นเอาตรงกลางมาใช้นี่แหละนะครับเค้าก็จะ
00:15:29 → 00:15:30 อ้างแบบนี้แต่ไม่ว่าคุณจะเอาตรงกลางหรือ
00:15:30 → 00:15:32 ตรงไหนมาใช้มันก็จะมีโอกาสปนเปื้อนเชื้อ
00:15:33 → 00:15:37 โรคได้เช่นกันนะครับอ่ะแล้วทีนี้ถ้าเรา
00:15:37 → 00:15:40 เอาปัสสาวะมาดื่มเข้าไปล่ะดื่มเข้าไปมีคน
00:15:40 → 00:15:43 เอามาใช้รักษาอะไรบ้างอ่ะข้อแรกบอกว่ามัน
00:15:43 → 00:15:47 มีสารยูโรไนสนี่ไงมันสามารถที่จะป้องกัน
00:15:47 → 00:15:49 การที่เรามีลิ่มเลือดในที่ต่างๆเช่นเป็น
00:15:49 → 00:15:52 โรคหัวใจโรคมลิ่มเลือดสมองนะครับโรคลิ่ม
00:15:53 → 00:15:54 เลือดในเส้นเลือดหัวใจหรือโรคลิ่มเลือด
00:15:54 → 00:15:56 ที่เกิดขึ้นตามเส้นเลือดต่างๆนะครับก็มี
00:15:57 → 00:16:00 คนเอามาคิดแบบนั้นแต่จะบอกว่าว่ายูโรคใน
00:16:00 → 00:16:03 ปัสสาวะเนี่ยมันมีปริมาณน้อยมากน้อยจน
00:16:03 → 00:16:05 กระทั่งไม่สามารถใช้อะไรได้เลยนะครับไม่
00:16:05 → 00:16:08 มีผลใดๆทั้งสิ้นในการสลายลิ่มเลือดแต่ถาม
00:16:08 → 00:16:11 ว่าในทางการแพทย์เรามีการใช้ยูโร kes
00:16:11 → 00:16:16 มั้ยมีครับมีบริษัทเอายูโรคเนี่ยสกัดมา
00:16:16 → 00:16:18 จากปัสสาวะแล้วสุดท้ายเขไปดูว่าโครงสร้าง
00:16:19 → 00:16:20 เป็นยังไงแล้วเก็สังเคราะห์ครับ
00:16:20 → 00:16:23 สังเคราะห์ยูโรคแล้วก็เพิ่มปริมาณให้มัน
00:16:23 → 00:16:27 สูงมากๆไอ้นี่แหละครับที่มันสามารถจะเอา
00:16:27 → 00:16:30 มาใช้ในการรักษาโรคได้เพราะว่ามันต้องใช้
00:16:30 → 00:16:33 ปริมาณเยอะไงครับมันไม่สามารถเอาปัสสาวะ
00:16:33 → 00:16:35 เราไปดื่มแล้วเราจะได้ยูโรไคเนสไปได้เรา
00:16:35 → 00:16:38 ต้องเพิ่มปริมาณเยอะๆมันถึงจะได้ผลนะครับ
00:16:38 → 00:16:41 อ่ะต่อมาคนที่ใช้ปัสสาวะในการรักษาเค้า
00:16:41 → 00:16:44 ออกมาใช้รักษาอะไรอีกมะเร็งเฮ้ยอันนี้
00:16:44 → 00:16:47 แปลกละทำไมเถึงใช้มะเร็งเอามาใช้รักษา
00:16:47 → 00:16:50 มะเร็งได้เค้าอ้างอันนี้ครับบอกว่าใน
00:16:50 → 00:16:53 ปัสสาวะของเราเนี่ยมันมีการหลุดของโปรตีน
00:16:53 → 00:16:56 ของมะเร็งออกมาใช่มันมีโปรตีนของมะเร็ง
00:16:56 → 00:16:59 ออกมาได้ถ้าเรามีมะเร็งในร่างกายนะครับ
00:16:59 → 00:17:01 แล้วเขาอ้างว่าถ้าเราเอาโปรตีนของมะเร็ง
00:17:01 → 00:17:03 ที่มันออกมาในปัสวะเนี่ยดื่มกลับเข้าไปนะ
00:17:04 → 00:17:06 ครับมันจะสามารถทำให้ร่างกายเราสร้าง
00:17:06 → 00:17:09 แอนติบอดี้ต่อมะเร็งตัวนั้นต่อโปรตีนของ
00:17:09 → 00:17:12 มะเร็งตัวนั้นได้แล้วไอ้โปรตีนของมะเร็ง
00:17:12 → 00:17:14 ตัวนั้นเนี่ยมันก็อยู่ทุกๆที่ที่มันมี
00:17:14 → 00:17:16 มะเร็งในร่างกายเราถูกมั้ครับถ้าร่างกาย
00:17:16 → 00:17:18 เราสร้างแอนติบอดี้ต่อต้านโปรตีนมะเร็ง
00:17:19 → 00:17:21 มันก็ควรที่จะไปตามที่ต่างๆที่มีมะเร็งใน
00:17:21 → 00:17:23 ร่างกายแล้วก็ทำให้มะเร็งตัวนั้นเนี่ยมัน
00:17:23 → 00:17:27 ฝ่อไปแต่ปรากฏว่ามันไม่เป็นแบบนั้นครับ
00:17:27 → 00:17:30 มันทำแบบนั้นไม่ได้นี่เป็นความคิดที่ดีนะ
00:17:30 → 00:17:31 ครับพยายามจะโยงเอาทุกอย่างเข้ากับ
00:17:31 → 00:17:34 วิทยาศาสตร์แต่ว่าเอาเข้าจริงมันไม่ไม่
00:17:34 → 00:17:36 สามารถทำแบบนั้นได้มันไม่สามารถป้องกัน
00:17:36 → 00:17:38 มะเร็งหรือไม่สามารถทำให้มะเร็งหายได้นะ
00:17:38 → 00:17:41 ครับบางคนก็บอกว่าเอ๊ะเมื่อกี้ผมบอกว่า
00:17:41 → 00:17:44 มันมีสเตมเซลล์ออกมาด้วยนี่เอ้สเต็มเซล
00:17:44 → 00:17:47 therapy หรือเปล่าเรากินสเตมเซลล์ของตัว
00:17:47 → 00:17:49 เองเข้าไปมันน่าจะช่วยทำให้ร่างกายของเรา
00:17:49 → 00:17:52 เนี่ยมีสุขภาพที่แข็งแรงนะครับหน้าเด็กนะ
00:17:52 → 00:17:54 ครับมี long gevity ก็คือมีอายุที่ยืน
00:17:54 → 00:17:58 ยาว antiaging เปล่าครับสเตมเซลล์ในป
00:17:58 → 00:18:01 ปัสสาวะเนี่ยมันมีอยู่ที่ประมาณซัก 0.2%
00:18:01 → 00:18:03 ของเซลล์ทั้งหมดนะครับเซลล์ทั้งหมดที่ออก
00:18:03 → 00:18:07 มากับปัสสาวะเราเนี่ยมีตั้งแต่เซลล์ในทาง
00:18:07 → 00:18:09 เดิมปัสสาวะเซลล์เยื่อบุทางเดิมปัสสาวะนะ
00:18:09 → 00:18:11 ครับเซลล์เมล็ดแขวเมล็ดแดงที่มันหลุดออก
00:18:12 → 00:18:14 มาด้วยนะครับเซลล์อื่นๆที่มันหลุดออกมา
00:18:14 → 00:18:17 เซลล์ไตเซลล์ท่อนำปัสสาวะพวกเนี้ยนะครับ
00:18:17 → 00:18:20 แล้วทั้งหมดเนี่ยมันมีเยอะนะครับเยอะกว่า
00:18:20 → 00:18:23 ไอ้เซลล์สเตมเซลล์เนี่ยมากเลยทีเดียวแล้ว
00:18:23 → 00:18:25 ต่อให้เซลล์พวกนี้มันมีเยอะแค่ไหนมันยัง
00:18:25 → 00:18:29 ถือว่ามันมีน้อยมากๆอยู่ดีมีน้อยมากๆนะ
00:18:29 → 00:18:31 ครับถ้าเซลล์มันออกมาเนี่ยปัสสาวะเยอะแน
00:18:31 → 00:18:34 เรามีปัญหาเรามีโรคะนะครับเรามีโรคแล้วนะ
00:18:34 → 00:18:37 ครับดังนั้นเนี่ยจะใช้การดื่มสเตมเซลล์
00:18:37 → 00:18:39 เข้าไปเนี่ยคงจะไม่มีประโยชน์อะไรทั้ง
00:18:39 → 00:18:42 สิ้นนะครับเพราะว่าข้อแรกสเตมเซลล์เนี่ย
00:18:42 → 00:18:45 ดื่มเข้าไปตายแน่นอนนะครับก็โดนกรดใน
00:18:45 → 00:18:47 กระเพาะเราฆ่าทิ้งอ่ะนะครับคือในกระเพาะ
00:18:47 → 00:18:49 เรามันเป็นกรดมากกว่าในปัสสาวะในปัสสาวะ
00:18:49 → 00:18:52 เราพีอาจจะอยู่ที่ประมาณอ่าต่ำๆก็ประมาณ
00:18:52 → 00:18:54 สัก 4 น่ะแต่ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 6 นะครับ
00:18:54 → 00:18:57 6-8 แถวๆเนี้ยบวกลบนะครับแต่ในกระเพาะ
00:18:57 → 00:19:00 เรามันถึงต่ำถึง 1 ได้เลยนะครับแล้วถ้า
00:19:00 → 00:19:03 เซลล์ที่มันอยู่ในกรดไม่เคยเจอกรดขนาดแบบ
00:19:03 → 00:19:06 รุนแรงมาก่อนมันเข้าไปเจอมันก็ตายไปแล้ว
00:19:06 → 00:19:09 ข้อแรกมีเซลล์สเต็มเซลล์น้อยมากลงไปใน
00:19:09 → 00:19:11 กระเพาะมันไม่ได้ผลมันตายไปก่อนนะครับโดน
00:19:11 → 00:19:14 ย่อยตายนะครับหรือไปเจอน้ำดีก็ตายแล้วนะ
00:19:14 → 00:19:17 ครับข้อแรกเซลล์มีน้อยไม่ได้ผลแล้วต่อให้
00:19:17 → 00:19:19 มันเข้าไปในร่างกายได้จริงๆไอ้สเต็มเซลล์
00:19:19 → 00:19:21 ตัวนี้มันจะเข้าไปยังไงอ่ะคือโดยปกติคน
00:19:21 → 00:19:24 เราไม่สามารถดูดซึมเซลล์เข้าไปในร่างกาย
00:19:24 → 00:19:26 ได้นะมันจะดูดซึมได้ก็ต้องย่อยทิ้งก่อน
00:19:26 → 00:19:29 ย่อยทิ้งก็แปลว่าตายไปแล้วดื่มสมเซลเข้า
00:19:29 → 00:19:31 ไปมันก็ใช้ไม่ได้ผลนะครับดังนั้นอันเนี้ย
00:19:31 → 00:19:35 ก็เป็นการที่เ่อเราบอกได้เลยว่ามันจะไม่
00:19:35 → 00:19:38 สามารถที่จะใช้ผลในการดื่มสเตมเซลล์เข้า
00:19:38 → 00:19:41 ไปทำให้ร่างกายเราดีขึ้นเด็กขึ้นได้นะ
00:19:41 → 00:19:44 ครับแล้วรู้อะไรมั้ยช่วงที่โควิดระบาดมาก
00:19:44 → 00:19:47 ๆเนี่ยมันมีกลุ่มต่อต้านวัคซีนครับแนะนำ
00:19:47 → 00:19:50 ให้ใช้ปัสสาวะในการรักษาดื่มเพื่อป้องกัน
00:19:50 → 00:19:52 โควิดดื่มเพื่อรักษาโควิดครับอันนี้ก็
00:19:52 → 00:19:54 มั่วใหญ่แล้วนะครับเพราะว่าข้อมูลมันไม่
00:19:54 → 00:19:57 มีเลยนะตั้งแต่แรกนะครับและที่สำคัญมีคน
00:19:57 → 00:19:59 คิดนะครับว่า
00:19:59 → 00:20:03 เฮ้ยเมื่อกี้เราเคยบอกไว้ว่าถ้าปัสสาวะ
00:20:03 → 00:20:05 มันดีจริงเราเอามาฉีดเข้าไปในร่างกายเลย
00:20:06 → 00:20:10 ดีมยมีคนทำจริงๆครับมีคนทำจริงๆแล้วป่วย
00:20:10 → 00:20:13 หนักมากเลยเดี๋ยวผมจะเอารายงานทางการ
00:20:13 → 00:20:14 แพทย์เนี่ยทิ้งไว้ให้ทุกคนไปอ่านได้เองนะ
00:20:14 → 00:20:17 ครับคนๆนี้เนี่ยมีความเชื่อในการใช้
00:20:17 → 00:20:20 ปัสสาวะในการรักษามากนะครับแล้วเขาเอามัน
00:20:20 → 00:20:24 มาฉีดเข้าไปในเส้นเลือดของเขาเลยฉีดเข้า
00:20:24 → 00:20:27 เส้นเลือดเลยนะครับแล้วปรากฏว่าติดเชื้อ
00:20:27 → 00:20:30 ในร่างกายรุ่นแรมากเกิดจากเชื้อหลายอย่าง
00:20:30 → 00:20:34 ที่อยู่ในปัสสาวะนะครับติดเชื้อรุนแรงมาก
00:20:34 → 00:20:36 เลยนะเกือบตายแต่โชคดีที่รักษาทันแล้วก็
00:20:36 → 00:20:40 รอดมาได้อีกกรณีนึงก็เหมือนกันเป็นคนที่
00:20:40 → 00:20:43 ติดยาเสพติดนะครับแล้วก็เก็บปัสสาวะไว้ใน
00:20:43 → 00:20:46 ตู้เย็นเพื่อเวลาที่มีคนมาตรวจว่าเค้าใช้
00:20:46 → 00:20:48 ยาอะไหรือเปล่าเจะได้เอาปัสสาวะเนี่ยไป
00:20:48 → 00:20:50 ให้ตรวจนะครับจะได้ดูว่ามันไม่มีปัญหาแต่
00:20:50 → 00:20:52 ว่าเขาไปดันหยิบผิดแล้วคิดว่าเอ้ยไอ้นี้
00:20:53 → 00:20:55 คือเมทาโดนแล้วเาเอาหน้านาฉีดเข้าไปใน
00:20:55 → 00:20:57 ร่างกายของเขาเป็นไงติดเชื้อเหมือนกันนะ
00:20:57 → 00:21:01 ครับนั่นแหละครับคือปัญหานะฮะของการใช้
00:21:01 → 00:21:06 พวกนี้แล้วที่สำคัญก็คือบางคนเนี่ย
00:21:06 → 00:21:10 อ่าสมัยก่อนต้องย้อนกลับไปในช่วงสงคราม
00:21:10 → 00:21:13 โลกครั้งที่ 2 ยามันมีจำกัดนะครับโดย
00:21:14 → 00:21:16 เฉพาะยาเพนิซิลินซึ่งสมัยนั้นเนี่ยมัน
00:21:16 → 00:21:18 เป็นยาแบบพระเจ้ามากเลยใช้ในการรักษาโรค
00:21:18 → 00:21:21 ติดเชื้อได้เยอะแยะไปหมดนะครับแต่ว่า
00:21:21 → 00:21:23 เนื่องจากยามันมีจำกัดเนี่ยเค้าก็ไม่รู้
00:21:23 → 00:21:26 จะผลิตยายังไงให้ทันกับการใช้ในกองทัพนะ
00:21:26 → 00:21:29 ครับเค้าก็ไปเจอข้อมูลว่าไอเพนิซิลิน
00:21:29 → 00:21:34 เนี่ยมันมีการขับออกมาทางปัสสาวะซะเยอะนะ
00:21:34 → 00:21:38 หมายความว่าถ้าเราใช้ยาเพนิซิลินกับคนๆ
00:21:38 → 00:21:40 นี้ฆ่าเชื้อเสร็จปุ๊บร่างกายขับทิ้งออกมา
00:21:40 → 00:21:42 อย่างี้เราก็เอาประซาของเขามาสกัดเอา
00:21:42 → 00:21:45 เพนิซิลินออกมาใช้ใหม่ได้สิแล้วมันก็มีคน
00:21:45 → 00:21:47 ทำอย่างนั้นจริงๆครับคือสกัดเอาา
00:21:47 → 00:21:50 เพนิซิลินพวกเยออกมาใช้นะครับในตอนนั้น
00:21:50 → 00:21:53 แต่ว่าสุดท้ายมันก็เลิกไปเพราะว่าการทำ
00:21:53 → 00:21:55 แบบนั้นมันแพงกว่าการสังเคราะห์มันขึ้นไป
00:21:55 → 00:21:59 อีกนะครับในทางการแพทย์มีใครเอามาใช้อีก
00:21:59 → 00:22:03 อันนี้สำหรับคนผู้หญิงโดยเฉพาะนะครับมี 2
00:22:03 → 00:22:06 กรณีที่เขาใช้กรณีที่ 1 นะครับสมัยก่อน
00:22:06 → 00:22:10 เนี่ยมันมีคนที่มีบุตรยากแล้วก็มีคนไปคิด
00:22:10 → 00:22:13 ว่าเอ๊ะในปัสสาวะของเรามีการปล่อยฮอร์โมน
00:22:13 → 00:22:16 fsh กับ LH ออกมาไอ้ 2 ตัวเนี้ยมันเป็น
00:22:16 → 00:22:19 ฮอร์โมนที่เอาไว้กระตุ้นทำให้เรามีการตก
00:22:20 → 00:22:23 ไขได้นะครับ fsh ย่อมาจาก follicle
00:22:23 → 00:22:26 stimulating Hormone LH คือ ruining
00:22:26 → 00:22:28 Hormone นะครับ 2 ตัวเนี้ยก็มีคนคิดว่า
00:22:28 → 00:22:30 ว่าถ้าเราเพิ่มปริมาณมันแล้วเอามาทำให้
00:22:30 → 00:22:34 เอ่อเรามีบุตรง่ายเนี่ยเออมันน่าจะดีแล้ว
00:22:34 → 00:22:37 มีคนทำจริงๆครับโดยการทำเนี่ยอันนี้แปลก
00:22:37 → 00:22:40 ดีเหมือนกันเค้าต้องเอาปัสสาวะปริมาณมากๆ
00:22:40 → 00:22:43 เลยเพื่อมาทำไอ้ฮอร์โมนตัวนี้แล้วเขาก็
00:22:43 → 00:22:47 นี่แหละครับไปเอาปัสสาวะของแม่ชี 10 คนนะ
00:22:47 → 00:22:49 ครับให้ทุกคนปัสสาวะเป็นหลายวันแล้วเอามา
00:22:49 → 00:22:52 รวมกันนะครับคือได้เป็นหลายลิตรเลย 10 20
00:22:52 → 00:22:55 ลิตรเลยแล้วก็เอามาสกัดเอาไอ้ฮอร์โมนตัว
00:22:55 → 00:22:57 นี้ออกมาแล้วปรากฏว่าเอาไปใช้จริงๆแล้วก็
00:22:57 → 00:23:00 ทำให้คนอคนนึงเนี่ยเนี่ยมีหลุมีบุตได้นะ
00:23:00 → 00:23:02 ครับแต่เดี๋ยวนี้เราไม่ใช้แล้วครับเราไป
00:23:02 → 00:23:05 ใช้วิธีอื่นเรามีวิธีในการสังเคราะห์ที่
00:23:05 → 00:23:07 มันถูกกว่าเยอะนะครับก็เลยเลือกใช้
00:23:08 → 00:23:11 ไปสิ่งที่ 2 ที่ผู้หญิงเขาใช้กันก็คือ
00:23:11 → 00:23:15 ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ยังมีที่ใช้จนถึงตอน
00:23:15 → 00:23:18 นี้เลยครับอันนี้แหละมาจากฉี่จริงๆเลยนะ
00:23:18 → 00:23:20 ครับในปัสสาวะเนี่ยมันมีฮอร์โมนเอสโตรเจน
00:23:21 → 00:23:23 ออกมานะครับแต่ฮอร์โมนเอสโตรเจนเนี่ยมัน
00:23:23 → 00:23:25 ออกมาน้อยเหมือนกันนะครับเค้าก็มีคนคิด
00:23:25 → 00:23:28 ว่าเอ๊ะมันจะทำไงให้เจอฮอร์โมนเอสโตรเจน
00:23:28 → 00:23:31 เยอะๆได้เค้าไปเอาที่ไหนรู้มั้ยครับไปเอา
00:23:31 → 00:23:36 ปัสสาวะของม้าที่ตั้งรภอยู่มาใช้เออม้า
00:23:36 → 00:23:38 ที่ตั้งคันเนี่ยมันผลิตออกซิไอ้ผลิตไอ้
00:23:38 → 00:23:41 เอสโตรเจนสูงกว่าคนมากนะครับแล้วพอมัน
00:23:41 → 00:23:44 ผลิตเสร็จปุ๊บเนี่ยเราก็ไปเอามันมาใช้นะ
00:23:44 → 00:23:48 ฮะมันก็คือยาตัวนึงที่เรามาใช้ก็คือยา
00:23:48 → 00:23:53 ชื่อ prine นะครับเป็น conjugated equine
00:23:53 → 00:23:57 estrogen มาจากปัสสาวะของม้านะครับมีใช้
00:23:57 → 00:23:59 จริงๆในคนนะฮะฮะแต่มันไม่ได้เอาปัสสาวะ
00:23:59 → 00:24:02 ม้ามาดื่มเข้าไปนะไม่ใช่แบบนั้นนะนี่มัน
00:24:02 → 00:24:05 มีการสกัดออกมาแล้วเอามาใช้อีกทีนึงนะ
00:24:05 → 00:24:09 ครับดังนั้นเนี่ยถ้าเราดูทั้งหมดเนี่ยนะ
00:24:09 → 00:24:12 ครับไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลทาง
00:24:12 → 00:24:15 วิทยาศาสตร์นะครับดูส่วนประกอบต่างๆของ
00:24:15 → 00:24:18 มันเนี่ยจะบอกได้เลยชัดเจนนะครับว่ามัน
00:24:18 → 00:24:20 ไม่สามารถที่จะเอามาใช้ในการรักษาโรคได้
00:24:20 → 00:24:24 เลยสักโรคนะครับไม่ได้นะครับใช้รักษาไม่
00:24:24 → 00:24:26 ได้แล้วบางกรณีเนี่ยอันตรายด้วยซ้ำไปถ้า
00:24:26 → 00:24:29 เราฉีดเข้าไปนะครับ
00:24:29 → 00:24:31 แล้วในทางการแพทย์จริงๆมีงานวิจัยเยอะแยะ
00:24:31 → 00:24:33 ไปหมดนะครับก็ไม่สามารถบอกได้ว่าการเอา
00:24:33 → 00:24:36 ปัสสาวะมาใช้ในการรักษาโรคมันจะได้ผลไม่
00:24:36 → 00:24:38 มีหลักฐานว่ามันได้ผลแล้วถ้าเราคิดตาม
00:24:38 → 00:24:41 ตรรกะส่วนประกอบของปัสสาวะมันก็ไม่ได้ผล
00:24:41 → 00:24:45 อยู่ดีนะครับอ่ะแต่แน่นอนละว่าบางคนเนี่ย
00:24:45 → 00:24:49 เาก็ต้องบอกว่าหมอหมอต้องเปิดใจสิเค้ามี
00:24:49 → 00:24:52 ใช้กันมาตั้งนานละทั้งจีนทั้งอินเดียทั้ง
00:24:52 → 00:24:55 อเมริกานะครับยุโรปอียิปต์ทุกที่อมีใช้
00:24:55 → 00:24:58 หมดนะครับเคใช้มายาวนานขนาดนั้นเราถ้ามัน
00:24:58 → 00:25:01 ไม่ดีจริงนะมันมันยังอยู่นะครับคนพวกนี้
00:25:01 → 00:25:03 ควรต้องบอกว่าความรู้บางอย่างในอดีตเนี่ย
00:25:03 → 00:25:05 มันไม่ได้แปลว่ามันจะต้องถูกเสมอไปนะครับ
00:25:05 → 00:25:07 แต่ถ้าท่านจะเชื่อแบบนั้นแล้วจะใช้นะครับ
00:25:07 → 00:25:10 จะใช้ยังไงก็จะใช้ได้ถามว่ามันมีอันตราย
00:25:10 → 00:25:12 อะไรหรือเปล่านะครับก็ต้องบอกแบบนี้ครับ
00:25:12 → 00:25:14 คนส่วนใหญ่ถ้ากินปัสสาวะตัวเองเข้าไป
00:25:14 → 00:25:17 เนี่ยมันไม่ได้อันตรายอะไรหรอกนะครับไม่
00:25:17 → 00:25:18 ได้อันตรายอะไรมันไม่ได้ถึงตายไม่ได้ถึง
00:25:19 → 00:25:20 มีปัญหาอะไรทั้งสิ้นนะครับมันก็ถึงกินได้
00:25:20 → 00:25:24 นี่แหละนะครับแต่มันก็ไม่สามารถรักษาอะไร
00:25:24 → 00:25:26 ได้เช่นกันถ้าจะมาทาที่ผิวแล้วหวังว่ามัน
00:25:26 → 00:25:28 จะดีขึ้นก็ต้องระวังนะครับว่าบาบางกรณี
00:25:28 → 00:25:30 เนี่ยมันกัดผิวได้เหมือนกันทำให้ผิวเรา
00:25:30 → 00:25:33 เปื่อยยุ่ยก็เหมือนกับคนที่เขาเ่อนอนจม
00:25:33 → 00:25:35 กองปัสสาวะตัวเองเวลาที่ช่วยเหลือตัวเอง
00:25:35 → 00:25:37 ไม่ได้นะฮะพวกนี้ก็จะมีปัญหาได้เหมือนกัน
00:25:37 → 00:25:38 นะ
00:25:38 → 00:25:41 ครับทีนี้มาถึงอย่างสุดท้ายที่อยากจะพูด
00:25:41 → 00:25:45 ก็คือว่ามีคนบอกว่าดื่มปัสสาวะแล้วมัน
00:25:45 → 00:25:48 สามารถมีชีวิตรอดได้ในภาวะฉุกเฉินเช่นเรา
00:25:48 → 00:25:51 ถูกเราเอ่อถูกตึกถล่มทับอย่างเงี้แล้วเรา
00:25:51 → 00:25:53 ไปไหนไม่ได้แล้วเราไม่มีน้ำกินเนี่ยนะ
00:25:53 → 00:25:56 ครับหรือว่าเราติดอยู่ในทะเลทรายเราดื่ม
00:25:56 → 00:25:58 น้ำพวกเนี้ยมันจะช่วยเราได้มากอะไรหรือ
00:25:59 → 00:26:02 เปล่านะครับต้องบอกอย่างนี้ครับไอ้
00:26:02 → 00:26:04 ปัสสาวะของเรา
00:26:04 → 00:26:09 เนี่ยตัวมันเองนะครับมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ
00:26:09 → 00:26:13 ครับทำไมก็เพราะว่าไอ้สิ่งที่อยู่ใน
00:26:13 → 00:26:15 ปัสสาวะเราโดยเฉพาะยูเรียเนี่ยมันมีความ
00:26:15 → 00:26:17 เข้มข้นสูงนะครับตัวมันเองเวลาเข้าไปใน
00:26:17 → 00:26:20 ร่างกายสิ่งที่มีความเข้มข้นสูงร่างกาย
00:26:20 → 00:26:23 ต้องพยายามขับมันออกมานะครับโดยปกติเนี่ย
00:26:23 → 00:26:26 สมมุติว่าถ้าเรามีของสกปรกที่มือนะครับ
00:26:26 → 00:26:29 เราไปจับดินมานะครับเราจับดินนิดหน่อยเรา
00:26:29 → 00:26:32 ต้องใช้น้ำในการล้างดินออกไปถูกมั้ยครับ
00:26:32 → 00:26:34 ถ้าเราจับดินเยอะๆเลยดินเปื้อนมือเยอะ
00:26:34 → 00:26:37 เนี่ยมันต้องใช้น้ำเยอะมครับใช้เยอะถูก
00:26:37 → 00:26:39 มั้ยครับถ้าเราเปื้อนน้อยใช้น้ำน้อยถ้า
00:26:39 → 00:26:41 เปื้อนเยอะใช้น้ำเยอะไตเราเหมือนกันครับ
00:26:41 → 00:26:44 ถ้าเรามีของเสียเยอะมันต้องใช้น้ำเยอะใน
00:26:44 → 00:26:47 การขับและไอ้ปัสสาวะของเราเนี่ยมันมีของ
00:26:47 → 00:26:50 เสียเยอะเสียด้วยมันเป็นของเสียที่ร่าง
00:26:50 → 00:26:52 กายต้องการขับออกไว้ตั้งแต่แรกถูกมั้ย
00:26:52 → 00:26:54 ครับดังนั้นถ้าเรากินเข้าไปเนี่ยมันก็มี
00:26:54 → 00:26:57 ของเสียเยอะกว่าเดิมอีกเมื่อบวกกับของ
00:26:57 → 00:26:58 เสียที่ร่างกายต้องต้องขับออกมาอยู่แล้ว
00:26:59 → 00:27:01 ตั้งแต่แรกแล้วอันนี้เอาเข้าไปเติมอีกมัน
00:27:01 → 00:27:04 ก็มีมหาศาลดังนั้นเนี่ยร่างกายต้องขับมัน
00:27:04 → 00:27:06 ออกมาอีกก็เลยทำให้ร่างกายต้องปัสสาวะออก
00:27:07 → 00:27:10 มาเยอะนะครับก็จะเอาพวกนั้นออกมาได้เยอะ
00:27:10 → 00:27:12 ทำให้ปัสสาวะของเราเนี่ยเข้มมากกว่าเดิม
00:27:12 → 00:27:14 อีกพูดง่ายๆมันก็เหมือนกินน้ำทะเลเข้าไป
00:27:14 → 00:27:17 ตอนหิวน้ำนั่นแหละฮะอาจจะมีชีวิตรอดได้
00:27:17 → 00:27:19 สักวัน 2 วันถ้าไม่ได้หาน้ำนะครับแต่ว่า
00:27:19 → 00:27:22 ถ้าดื่มแต่ไอ้ปัสสาวะเพียวๆอย่างเงี้
00:27:22 → 00:27:24 เรื่อยๆเนี่ยเอ่อร่างกายก็จะขาดน้ำแล้วก็
00:27:24 → 00:27:26 แย่ลงเรื่อยๆได้เพราะเป็นการสะสมสารพิษ
00:27:26 → 00:27:28 ที่ร่างกายพยายามจะขับแล้วก็ดื่มเข้าไป
00:27:28 → 00:27:31 ใหม่วนไปวนมาอย่างนี้อยู่เรื่อยๆนะครับ
00:27:31 → 00:27:35 เคยมีคนอ้างอิงอันนึงบอกว่าเราเคยทำ
00:27:35 → 00:27:38 fasting คือการอดอาหารเลยแล้วดื่มแต่
00:27:38 → 00:27:41 ปัสสาวะกับน้ำสามารถทำให้น้ำหนักลดลงได้
00:27:41 → 00:27:43 มันก็จริงนะมันก็ต้องลดลงอยู่แล้วว่าเรา
00:27:43 → 00:27:45 ไม่ได้กินข้าวมันก็ต้องลดลงนะครับแล้ว
00:27:45 → 00:27:48 เกลือแรกเราปกติทำไมก็เพราะว่าเราปัสสาวะ
00:27:48 → 00:27:50 เอาเกลือแรกเข้าไปเราก็ต้องดื่มเอาเกลือ
00:27:50 → 00:27:52 แรกเข้าไปชดเชยอยู่แล้วมันก็เป็นปกติที่
00:27:52 → 00:27:54 ร่างกายเราจะได้เกือแร่จากปัสสาวะไม่ได้
00:27:54 → 00:27:57 แปลกอะไรนะครับแต่ว่าก็อย่าไปใช้วิธีนั้น
00:27:57 → 00:28:00 ในการรักษาแล้วกันนะครับดังนั้นเนี่ย
00:28:00 → 00:28:04 เอ่อโดยสรุปแล้วนะครับการใช้ปัสสาวะในการ
00:28:04 → 00:28:07 รักษาเนี่ยมันมีที่มาค่อนข้างที่จะยาวนาน
00:28:07 → 00:28:09 เลยทีเดียวนะครับแต่ว่าไม่ว่าจะด้วยเหตุ
00:28:09 → 00:28:13 ผลทางวิทยาศาสตร์หรือเหตุผลทางตรรกะเนี่ย
00:28:13 → 00:28:15 การใช้ปัสสาวะในการรักษามันไม่ค่อยปลอด
00:28:15 → 00:28:17 ภัยเอ่อมันไม่สามารถรักษาอะไรได้นะครับ
00:28:18 → 00:28:22 แต่ถ้าเราจะใช้มันก็เอิมถ้าเราจะใช้จริงๆ
00:28:22 → 00:28:25 นะคือก็จะต้องเก็บปัสสาวะในส่วนกลางเก็บ
00:28:25 → 00:28:28 ตอนเช้านะครับเรียกว่า midstream Morning
00:28:28 → 00:28:30 mam urine นะครับแล้วก็ต้องเป็นคนที่
00:28:30 → 00:28:32 ไม่ได้ใช้ยาอะไรักอย่างอยู่เพราะถ้าใช้ยา
00:28:32 → 00:28:34 คุณก็เติมยาเข้าไปในร่างกายเรื่อยๆก็อาจ
00:28:34 → 00:28:36 จะเป็นพิษได้นะครับดังนั้นก็ต้องเป็นคน
00:28:36 → 00:28:39 ที่ไม่ใช้ยาต้องไม่ได้เจ็บป่วยอะไรนะครับ
00:28:39 → 00:28:41 แล้วปัสสาวะของเราเนี่ยกลิ่นมันจะเปลี่ยน
00:28:41 → 00:28:43 แปลงไปรสชาติจะเปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งที่
00:28:43 → 00:28:45 เรากินด้วยนะครับคนเป็นเบาหวานอ่าปัสสาวะ
00:28:45 → 00:28:48 ก็มีน้ำตาลเยอะกับหวานนะครับถ้าเกินพวก
00:28:48 → 00:28:51 อ่าพวกเนื้อนะครับโปรตีนเยอะๆนะครับพวก
00:28:51 → 00:28:53 อาหารที่เป็นกรดเนี่ยรสชาติปัสสาวะเรามัน
00:28:53 → 00:28:55 ก็ต้องประหลาดแน่นอนอยู่แล้วนะครับแล้วก็
00:28:55 → 00:28:58 กลิ่นมันก็จะแรงก็จะฉุนด้วยนะครับถ้าเรา
00:28:58 → 00:29:00 กินพวกผักพวกอะไรเยอะเนี่ยกลิ่นมันก็จะ
00:29:00 → 00:29:03 อ่อนหน่อยนะครับงนี้ก็เป็นสิ่งที่ถ้าเกิด
00:29:03 → 00:29:06 คุณจะกินจะดื่มจะเอาไปทานอแล้วแต่เลยนะ
00:29:06 → 00:29:08 ครับแต่สำหรับผมผมคงต้องขอบ่ายนะครับแต่
00:29:08 → 00:29:10 ถ้าใครที่อยากจะเอาไปทำหรือเชื่อในสิ่ง
00:29:11 → 00:29:13 นี้จริงๆนะครับบอกหมอต้องเชื่อสินะครับเ
00:29:13 → 00:29:15 ใช้กันมานานต้องดีอย่างงั้นอย่างนี้นะ
00:29:15 → 00:29:17 ครับอันนั้นก็ต้องบอกว่าคุณก็เชื่อเป็น
00:29:17 → 00:29:20 ของคุณคนเดียวพอนะครับผมคงไม่ทำตามนะฮะ
00:29:20 → 00:29:23 แต่ถ้าคุณจะทำตามอ่าก็เป็นสิทธิของคุณเลย
00:29:23 → 00:29:26 ละกันนะครับโอเควันนี้ก็เล่ามายาวนานมาก
00:29:26 → 00:29:28 เลยนะครับไม่น่าเชื่อว่าเรื่องของปัสวะ
00:29:28 → 00:29:30 มันจะมีอะไรให้เล่าเยอะขนาดนี้นะครับแต่
00:29:30 → 00:29:33 ว่าก็ถ้าใครมีคำถามอะไรก็สอบถามมาแล้วกัน
00:29:33 → 00:29:35 นะครับวันนี้เท่านี้นะครับขอบคุณมากครับ
00:29:35 → 00:29:38 สวัสดีครับ