00:00:00 → 00:00:03 สวัสดีครับผมได้ดูข่าวที่มีผู้หญิงท่าน
00:00:03 → 00:00:05 นึงนะครับที่จังหวัดบุรีรัมย์ได้กิน
00:00:05 → 00:00:08 ทุเรียนแล้วก็ดื่มน้ำอารมณ์ตามหลังจาก
00:00:08 → 00:00:11 นั้นเนี่ยเกิดอาการแน่นหน้าอกแล้วเสีย
00:00:11 → 00:00:14 ชีวิตลงด้วยโรคที่แพทย์สันนิษฐานว่าเป็น
00:00:14 → 00:00:17 กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดนะครับเรื่องนี้
00:00:17 → 00:00:20 เนี่ยมีคนสอบถามเข้ามาเยอะเหมือนกันนะ
00:00:20 → 00:00:22 ครับว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงแล้วใครบ้าง
00:00:22 → 00:00:25 ที่เสี่ยงจะเกิดอาการแบบนี้ทำไมมันถึง
00:00:25 → 00:00:27 เกิดขึ้นได้เดี๋ยววันนี้ผมจะเล่าให้ฟังนะ
00:00:27 → 00:00:30 ครับพบกับผมนะครับนายแพทย์ธนี
00:00:30 → 00:00:31 เป็นอาจารย์แพทย์อยู่ที่ประเทศสหรัฐ
00:00:31 → 00:00:34 อเมริกาเชี่ยวชาญโรคปอดการปลูกถ่ายปอดและ
00:00:34 → 00:00:37 วิกฤตบำบัดนะครับเรื่องทุเรียนกับน้ำ
00:00:37 → 00:00:40 อารมณ์หรือทุเรียนกับแอลกอฮอล์โดยเฉพาะ
00:00:40 → 00:00:43 เบียร์เนี่ยเป็นเรื่องที่อยู่คู่กับคนไทย
00:00:43 → 00:00:46 มาค่อนข้างที่จะนานนะครับหลายคนก็มีความ
00:00:46 → 00:00:49 เข้าใจว่าอย่าไปกินร่วมกันทั้ง 2 อย่างนะ
00:00:49 → 00:00:52 ครับไม่ว่าจะเป็นทุเรียนกับน้ำอัดลมหรือ
00:00:52 → 00:00:55 ทุเรียนกับอ่าตัวแอลกอฮอล์โดยเฉพาะเบียร์
00:00:55 → 00:00:58 เพราะว่ามันจะเกิดปัญหาถึงขั้นเสียชีวิต
00:00:58 → 00:01:00 ขึ้นมาได้อันเนี้เป็นสิ่งที่เราได้ยินกัน
00:01:00 → 00:01:03 มาค่อนข้างที่จะบ่อยนะครับแล้วผมก็เคย
00:01:03 → 00:01:06 วิเคราะห์กรณีที่ทานผู้เรียนเข้าไปกับ
00:01:06 → 00:01:08 แอลกอฮอล์ว่ามันเกิดปัญหาอะไรขึ้นได้บ้าง
00:01:08 → 00:01:11 ถ้าใครจำไม่ได้ก็ลองย้อนไปฟังคลิปนั้นได้
00:01:11 → 00:01:14 ครับเพราะว่าผมเล่ารายละเอียดลงลึกไปแล้ว
00:01:14 → 00:01:17 นะครับดังนั้นวันนี้จะขอเล่าเฉพาะกรณี
00:01:17 → 00:01:19 ทุเรียนกับน้ำอารมณ์แล้วกันว่ามันจะมี
00:01:19 → 00:01:24 ปัญหาอย่างไรบ้างนะครับถ้าใครที่มาฟัง
00:01:24 → 00:01:26 คลิปนี้นะแล้วไม่ได้อยากจะฟังให้จบนะครับ
00:01:26 → 00:01:28 ง่ายๆเลยถ้าคุณเป็นคนที่แข็งแรงอยู่แล้ว
00:01:28 → 00:01:31 ไม่มีโรคประจำตัวอะไรนะครับอายุน้อยคุณ
00:01:32 → 00:01:34 กินเข้าไปอ่ะอาจจะไม่เกิดอะไรขึ้นเลยก็
00:01:34 → 00:01:36 ได้ถึงแม้ว่าคุณจะกินทุเรียนเข้าไปเยอะ
00:01:36 → 00:01:39 แยะขนาดไหนกินน้ำอมตามเข้าไปแค่ไหนคุณก็
00:01:39 → 00:01:42 อาจจะไม่มีอะไรเลยไม่มีปัญหาอาจจะมีแค่
00:01:42 → 00:01:44 ท้องอืดและแน่นท้องเท่านั้นเพราะว่า
00:01:44 → 00:01:47 ปริมาณที่กินเข้าไปมันเยอะนะครับก็มีแค่
00:01:47 → 00:01:49 นี้นะหรือบางคนถ้ามันอืดแน่นมากๆก็อ้วออก
00:01:49 → 00:01:52 มาเลยก็ประมาณนั้นนะครับแต่ว่าอาจจะไม่
00:01:52 → 00:01:55 ถึงขั้นเสียชีวิตแบบกรณีของที่เป็นข่าว
00:01:55 → 00:01:58 แบบนี้นะครับอย่างไรก็ตามถ้าคุณมีความ
00:01:58 → 00:02:01 เสี่ยงเช่นเป็นโรคความดันโลหิตสูงที่คุม
00:02:01 → 00:02:04 ไม่ได้เป็นโรคหัวใจอยู่แล้วนะครับพวก
00:02:04 → 00:02:07 เนี้ยหรือมีโรคเรื้อรังต่างๆคุณไปกินแบบ
00:02:07 → 00:02:09 นี้เข้าไปอาจจะเกิดอันตรายกับร่างกายขึ้น
00:02:09 → 00:02:13 มาก็ได้นะครับแค่นี้เลยอันนี้คือสาระสั้น
00:02:13 → 00:02:16 ๆแล้วถ้าเกิดใครที่กินเข้าไปแล้วมีอาการ
00:02:16 → 00:02:19 แน่นหน้าอกขึ้นมานะครับคุณอย่าอยู่ที่
00:02:19 → 00:02:22 บ้านคุณต้องไปตรวจเสมออย่าไปคิดว่ามัน
00:02:22 → 00:02:25 เป็นกรดไหลย้อนหรือมันแค่แน่นท้องธรรมดา
00:02:25 → 00:02:27 เพราะมันอาจจะเป็นโรคอันตรายก็ได้โดย
00:02:27 → 00:02:29 เฉพาะถ้าเกิดคุณเป็นคนที่อายุเยอะและมี
00:02:29 → 00:02:33 โรคประจำตัวอย่างที่เล่าไปนะครับอ่ะมาถึง
00:02:33 → 00:02:35 ตัวเนื้อข่าวกันนะครับในข่าวเนี่ยก็บอก
00:02:35 → 00:02:39 ว่ามีคุณป้าคนนึงแกอายุ 58 ปีเป็นคน
00:02:39 → 00:02:41 จังหวัดบุรีรัมย์แล้วก็มีโรคประจำตัวเป็น
00:02:41 → 00:02:44 ความดันโลหิตสูงซึ่งผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน
00:02:44 → 00:02:47 ว่าแกเนี่ยทานยาตัวไหนอยู่แล้วคุมความดัน
00:02:47 → 00:02:50 ได้เป็นยังไงบ้างนะครับรวมทั้งไม่ทราบ
00:02:50 → 00:02:52 เหมือนกันว่ามีโรคประจำตัวอื่นๆอะไรอีก
00:02:52 → 00:02:56 หรือไม่เช่นเบาหวานโรคไตโรคไขมันอุดตัน
00:02:56 → 00:02:58 เส้นเลือดนะครับหรือว่าโรคกล้ามเนื้อหัว
00:02:58 → 00:03:01 ใจขาดเลือดโรคหัวใจวายโรคหลอดเลือดสมอง
00:03:01 → 00:03:03 หรืออะไรพวกเนี้ยไม่ทราบว่ามีอยู่หรือ
00:03:03 → 00:03:05 เปล่าเพราะถ้ามีพวกเนี้ยมันก็จะยิ่งทำให้
00:03:05 → 00:03:08 ความเสี่ยงสูงมากขึ้นกว่าเดิมซะอีกนะ
00:03:08 → 00:03:12 ครับทีนี้วันนึงเนี่ยตอนประมาณสัก 14:00
00:03:12 → 00:03:15 น.แกก็ไปซื้อทุเรียนมากิน 2 ูเล็กๆนะกิน
00:03:15 → 00:03:18 เข้าไปก็ไม่มีอะไรผ่านไป 2 ชั่วโมงแกก็ไป
00:03:18 → 00:03:21 ซื้อน้ำอัดลมมากินขวดนึงนะครับตอนนั้นก็
00:03:21 → 00:03:24 ไม่มีอะไรเหมือนกันปกติดีแต่ตกเย็นวัน
00:03:24 → 00:03:27 นั้นครับแกเริ่มมีอาการแน่นหน้าอกแล้ว
00:03:27 → 00:03:30 สามีแกเนี่ยก็มาถามว่าเฮ้ยไปหาหมอมั้ยตอน
00:03:30 → 00:03:33 นั้นแกก็เกรงใจไม่อยากจะไปหาหมอเพราะว่า
00:03:33 → 00:03:36 มันจะต้องรบกวนคนรอบๆแถวนั้นเนี่ยช่วยพา
00:03:36 → 00:03:39 ไปหาหมอแกก็ไม่อยากไปขอนอนทักดูก่อน 21:00
00:03:39 → 00:03:42 น.วันเดียวกันครับไม่ดีขึ้นอาการรู้สึก
00:03:42 → 00:03:47 ไม่สบายตัวและแกก็ให้ทางสามีเนี่ยนวดนะ
00:03:47 → 00:03:51 ครับแต่ก็ยังไม่อยากไปหาหมออยู่ดีแล้ว
00:03:51 → 00:03:54 2:00 น.ครับเกิดเรื่องแกอาการแย่ลงแน่น
00:03:54 → 00:03:56 อกแกก็ไปนั่งอยู่หน้าบ้านแล้วก็หมดสติไป
00:03:56 → 00:03:59 เลยตอนนั้นเนี่ยก็พยายามช่วยเหลือกันและ
00:03:59 → 00:04:02 แต่สุดท้ายก็ไม่รอดนะครับคุณหมอก็บอกว่า
00:04:02 → 00:04:05 น่าจะเกิดจากการที่แกเนี่ยกินทุเรียนแล้ว
00:04:05 → 00:04:08 ก็น้ำพัดลมทำให้ความดาวสูงแล้วนำไปสู่การ
00:04:08 → 00:04:12 เกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดขึ้นมานะครับ
00:04:12 → 00:04:14 เรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไงต้องบอก
00:04:14 → 00:04:17 อย่างนี้ก่อนนะครับว่าทุเรียนเนี่ยมัน
00:04:17 → 00:04:19 เป็นอาหารที่มีพลังงานสูงมากๆแล้วในนั้น
00:04:19 → 00:04:22 ก็จะมีทั้งน้ำตาลทั้งไข่มันเยอะนะครับ
00:04:22 → 00:04:25 ส่วนน้ำอัดลมเนี่ยก็จะมีน้ำตาลที่เยอะ
00:04:25 → 00:04:28 แล้วก็มีคาเฟอีนอยู่ในนั้นเช่นกันถ้าคุณ
00:04:28 → 00:04:31 เอา 2 อย่างเนี่ยมาบวกกันเนี่ยมันกินเข้า
00:04:31 → 00:04:34 ไปแล้วนะครับสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือทุเรียน
00:04:34 → 00:04:37 น่ะมันย่อยค่อนข้างที่จะยากถ้ามันย่อยยาก
00:04:37 → 00:04:39 เนี่ยสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือในทางเดินอาหาร
00:04:39 → 00:04:42 ของเราเนี่ยร่างกายจะต้องมีการทำให้หลอด
00:04:42 → 00:04:45 เลือดมันขยายตัวนะครับเพื่อที่จะดูดเอา
00:04:45 → 00:04:48 สารอาหารทั้งหมดไปนะครับแล้วท้องก็จะอืด
00:04:48 → 00:04:51 มากเพราะว่าถ้าคุณไม่สามารถย่อยมันแล้วะ
00:04:51 → 00:04:54 ดูดซึมได้เนี่ยนะครับร่างกายมันก็จะรับ
00:04:54 → 00:04:57 ไม่ได้ดังนั้นร่างกายมันมีกลไกอันนึงโดย
00:04:57 → 00:04:59 การหลั่งฮอร์โมนอันนึงที่เรียกว่า GLP1
00:04:59 → 00:05:03 GLูคagon Light Pปไนะครับออกมาเพื่อทำให้
00:05:03 → 00:05:06 กระเพาะอาหารเนี่ยมันพยายามที่จะไม่ค่อย
00:05:06 → 00:05:08 บีบตัวแล้วพยายามย่อยมันให้เรียบร้อยก่อน
00:05:08 → 00:05:11 ที่จะส่งต่อไปยังลำไส้เล็กนะครับฮอร์โมน
00:05:11 → 00:05:13 ตัวเนี้ยมันก็ทำให้หลอดเลือดในกระเพาะ
00:05:13 → 00:05:15 ขยายแล้วถามว่าทำไมผมถึงพูดฮอร์โมนตัวนี้
00:05:15 → 00:05:18 ขึ้นมาเพราะว่าเดี๋ยวเนี้ยยาฉีดลดความ
00:05:18 → 00:05:22 อ้วนไงครับก็เป็นยาที่ไปทำหน้าที่คล้าย
00:05:23 → 00:05:25 กับตัวพวกเนี้ยหลายคนก็คงคงรู้จักปากกาลด
00:05:25 → 00:05:29 ความอ้วนซีกลูไทนกลูไทนอะไรพวกเนี้ยexนาท
00:05:29 → 00:05:33 ก็จะเป็นยาในกลุ่มเแหละที่ไปทำหน้าที่
00:05:33 → 00:05:36 คล้ายสาร GLP1 นะครับเพราะว่ามันสามารถลด
00:05:36 → 00:05:39 น้ำตาลในร่างกายได้ด้วยแล้วก็สามารถทำให้
00:05:39 → 00:05:41 เราเบื่ออาหารทำให้เราไม่อยากอาหารนี่ก็
00:05:41 → 00:05:43 เหมือนกันครับมันเป็นหนึ่งในกลไกที่ทำให้
00:05:43 → 00:05:45 เราอิ่มนะครับเพราะว่ามันต้องการย่อย
00:05:45 → 00:05:47 อาหารนั่นเองแล้วทุเรียนมันเป็นอาหารชิ้น
00:05:47 → 00:05:50 ใหญ่ย่อยยากอ่ะมันก็เลยอยู่ในท้องเรานาน
00:05:50 → 00:05:52 เพราะฮอร์โมนตัวนี้ตัวหนึ่งทำให้หลอด
00:05:52 → 00:05:56 เลือดในกระเพาะเรากับลำไส้เราขยายนะครับ
00:05:56 → 00:05:58 แล้วก็มีฮอร์โมนตัวอื่นๆอีกที่เกี่ยวข้อง
00:05:58 → 00:06:01 เช่นฮอร์โมนโคลิซิสโตไคนิตัวนี้เนี่ยมัน
00:06:01 → 00:06:05 เป็นฮอร์โมนที่ไปทำให้ตัวอ่าถุงน้ำดีของ
00:06:05 → 00:06:08 เราบีบตัวนะครับมันบีบตัวเพื่อเอาน้ำดีมา
00:06:08 → 00:06:11 จับกับไขมันที่มันอยู่ในทุเรียนนี่แหละทำ
00:06:11 → 00:06:14 ให้ไขมันมันแตกตัวแล้วก็ดูดซึมได้ง่ายนะ
00:06:14 → 00:06:16 ครับแต่ฮอร์โมนตัวเนี้ยมันก็ทำให้หลอด
00:06:16 → 00:06:19 เลือดในทางเดินอาหารขยาย
00:06:19 → 00:06:21 อีกอย่างนึงก็คือไนตรริกออกไซด์ตัวนี้ก็
00:06:21 → 00:06:24 ทำให้หลอดเลือดมันขยายเช่นกันถามว่าหลอด
00:06:24 → 00:06:27 เลือดขยายแล้วมันมีปัญหายังไงต้องบอก
00:06:27 → 00:06:30 อย่างี้ครับว่าเวลาหลอดเลือดขยายเนี่ยเรา
00:06:30 → 00:06:32 ต้องเข้าใจว่าเลือดในร่างกายเรามีจำกัดนะ
00:06:32 → 00:06:37 ครับมีประมาณสซัก 70 ซีซต่อกกรัของเราโดย
00:06:37 → 00:06:40 ประมาณนะครับเช่นสมมุติว่าถ้าผู้ชายหนัก
00:06:40 → 00:06:44 70 กก.นะครับมีเลือด 70 ซีซต่อกกรัก็
00:06:44 → 00:06:46 เท่ากับคนเนี้ยมีเลือดประมาณ 4.9 9 ลิตร
00:06:46 → 00:06:50 ในร่างกายเลือดมีจำกัดครับแล้วการที่
00:06:50 → 00:06:52 เลือดเมันจะไปตรงบริเวณไหนมันขึ้นว่า
00:06:52 → 00:06:54 บริเวณนั้นมีการขยายของหลอดเลือดใหม่ถ้า
00:06:54 → 00:06:56 มันขยายมันก็จะไปบริเวณนั้นได้ค่อนข้าง
00:06:56 → 00:07:00 ที่จะเยอะนะครับทีนี้ถ้ามันมีการขยายทั้ง
00:07:00 → 00:07:04 ระบบเนี่ยความดันในหลอดเลือดมันก็จะตกลง
00:07:04 → 00:07:09 นะครับมันจะตกลงนะแปลว่าถ้าเราจะให้ความ
00:07:09 → 00:07:12 ดันมันไม่ตกหัวใจจะต้องทำงานปั๊มเลือด
00:07:12 → 00:07:15 หนักมากขึ้นครับถูกมั้ยเหมือนกับคุณมีสั
00:07:15 → 00:07:18 สายยางอันนึงแล้วคุณมีน้ำอยู่ข้างในนะ
00:07:18 → 00:07:21 ครับถ้าอยู่เนี่ยสายยางมันขยายออกมาความ
00:07:21 → 00:07:23 ดันในสายยางก็จะตกถ้าคุณอยากให้ความดัน
00:07:23 → 00:07:25 เท่าเดิมคุณต้องอัดแรงดันเข้าไปเยอะๆตั้ง
00:07:26 → 00:07:28 แต่แรกนี่ก็เหมือนกันครับหัวใจเราเปรียบ
00:07:28 → 00:07:31 เสมือนปั๊มน้ำที่จะต้องอัดแรงดันเลือด
00:07:31 → 00:07:33 เข้าไปในหลอดเลือดถ้าหลอดเลือดมันเกิดการ
00:07:33 → 00:07:37 ขยายหัวใจก็ต้องทำงานหนักมากขึ้นครับแล้ว
00:07:37 → 00:07:40 ถ้าเกิดหัวใจของคุณป้าคนเนี้ยเขามีปัญหา
00:07:40 → 00:07:42 อยู่ก่อนเช่นกล้ามเนื้อหัวใจอาจจะทำงาน
00:07:42 → 00:07:45 ได้ไม่ดีหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจมันอาจ
00:07:45 → 00:07:48 จะมีการตีบอยู่แล้วซึ่งหลอดเลือดเนี้ยเรา
00:07:48 → 00:07:50 เรียกว่า chonary artery สมมุติว่ามันมี
00:07:50 → 00:07:53 การตีบอยู่แล้วนะครับแล้วมันต้องทำงาน
00:07:53 → 00:07:55 หนักมากขึ้นใช่มั้ยหัวใจบีบตัวมากขึ้นหัว
00:07:55 → 00:07:58 ใจบีบตัวมากขึ้นก็ต้องการเลือดมาเลี้ยง
00:07:58 → 00:08:00 เพิ่มขึ้นและไอ้เลือดมาเลี้ยงนี่ก็ต้องมา
00:08:00 → 00:08:01 จากหลอดเลือดนี้นี่แหละถ้าหลอดเลือดนี้
00:08:01 → 00:08:05 มันตีบเลือดก็มาเลี้ยงไม่ทันนะครับมันก็
00:08:05 → 00:08:08 จะเกิดปรากฏการณ์อันนึงเรียกว่า steel
00:08:08 → 00:08:10 phenomenal steel ที่แปลว่าขโมยนั่น
00:08:10 → 00:08:13 แหละนะครับ steel phenomenal คืออะไรคือ
00:08:13 → 00:08:18 การที่เลือดเนี่ยมันไม่โดนมันไม่เข้าไป
00:08:18 → 00:08:20 ที่หัวใจมันโดนขโมยไปที่อื่นในที่นี้ก็
00:08:20 → 00:08:22 คือมันไปตามหลอดเลือดที่มันขยายนั่นแหละ
00:08:22 → 00:08:24 มันเข้าไปที่หลอดเลือดหัวใจได้น้อยเพราะ
00:08:24 → 00:08:27 ว่าหลอดเลือดหัวใจมันตีบอยู่นะครับนี่คือ
00:08:27 → 00:08:31 ปัญหาของการที่คุณกินพวกเนี้ยเข้าไปเยอะๆ
00:08:31 → 00:08:34 ทำให้หลอดเลือดในทางเดินอาหารนั้นขยายนะ
00:08:34 → 00:08:36 ครับแล้วไม่ใช่แค่หลอดเลือดในทางเดิน
00:08:36 → 00:08:38 อาหารขยายอย่างเดียวนะหลอดเลือดที่กล้าม
00:08:38 → 00:08:40 เนื้อก็ขยายเช่นกันครับซึ่งมันเป็น
00:08:40 → 00:08:43 อิทธิพลของอินซูลินที่ทำให้หลอดเลือดที่
00:08:43 → 00:08:46 กล้ามเนื้อมันขยายเพิ่มขึ้นเพื่อที่จะดูด
00:08:46 → 00:08:49 เอาน้ำตาลในเลือดเข้าไปไว้ในกล้ามเนื้อ
00:08:49 → 00:08:51 ไม่ฉะนั้นน้ำตาลในกระแสเลือดมันจะสูงเกิน
00:08:51 → 00:08:54 ไปอินซูลินมันก็ยอมไม่ได้มันต้องทำหน้า
00:08:54 → 00:08:56 ที่นี้ก็แปลว่าคุณไม่ได้มีแค่เรื่องของ
00:08:56 → 00:09:00 การขยายของหลอดเลือดที่ลำไส้กับกระเพาะ
00:09:00 → 00:09:02 แต่มีการขยายของหลอดเลือดที่กล้ามเนื้อ
00:09:02 → 00:09:04 ด้วยครับมันก็เลยไปตรงนั้นหมดเลยนะความ
00:09:04 → 00:09:07 ดันในระบบเนี่ยก็จะต่ำหัวใจก็ต้องทำงาน
00:09:07 → 00:09:10 หนักขึ้นเพื่อให้ความดันมันเท่าเดิมแล้ว
00:09:10 → 00:09:14 หัวใจทำงานหนักขึ้นเฉยๆไม่ใช่ครับมันก็มี
00:09:14 → 00:09:17 คาเฟอีนที่อยู่ในโซดามากระตุ้นหัวใจให้ทำ
00:09:17 → 00:09:20 งานหนักมากขึ้นอีกต่างหากครับน่าจะเห็น
00:09:20 → 00:09:23 ได้ว่ามันมีหลายอย่างพร้อมกันเลยนะครับ
00:09:23 → 00:09:27 และคุณรู้มั้ว่าอินซูลินเนี่ยที่ออกมามัน
00:09:27 → 00:09:31 มีฤทธิ์ที่มากกว่าแค่การลดน้ำตาลเฉยๆตรง
00:09:31 → 00:09:34 เนี้ยน่าสนุกแล้วนะครับเพราะว่าเวลาที่
00:09:35 → 00:09:36 คุณกินอาหารที่มีน้ำตาลเยอะอย่างเช่น
00:09:36 → 00:09:40 ทุเรียนกับน้ำอารมณ์เข้าไปเนี่ยมันจะเกิด
00:09:40 → 00:09:43 อินซูลิน spike ก็คืออินซูลินมันจะรีบ
00:09:43 → 00:09:46 พุ่งขึ้นเลยเพื่อจัดการลดระดับน้ำตาลลง
00:09:46 → 00:09:49 แต่อินซูลินตัวนี้นี่แหละมันสามารถ
00:09:49 → 00:09:52 กระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติที่เรียกว่า
00:09:52 → 00:09:54 Sympathetic Nervous System เพื่อที่
00:09:54 → 00:09:58 จะให้เกิดความดันโลหิตที่สูงมากขึ้นมีการ
00:09:58 → 00:10:01 ตีบหดตัวของหลอดเลือดบริเวณอื่นๆเพื่อเอา
00:10:01 → 00:10:06 เลือดไปชดเชยในลำไส้และกล้ามเนื้อนะครับ
00:10:06 → 00:10:09 อันที่ 2 มันสามารถกระตุ้นให้หัวใจเต้น
00:10:09 → 00:10:13 เร็วขึ้นได้แล้วเมื่อกี้คุณจะสังเกตว่า
00:10:13 → 00:10:17 มันมีความที่จะต้องทำให้เกิดความสมดุล
00:10:17 → 00:10:20 ระหว่างหลอดเลือดที่มันหดตัวกับขยายตัวหด
00:10:20 → 00:10:23 ตัวในที่อื่นแต่ไปขยายที่กล้ามเนื้อและใน
00:10:23 → 00:10:26 ทางเดินอาหารถ้ามันทำงานสัมพันธ์กันดี
00:10:26 → 00:10:29 ความดันของคุณก็คงที่ครับไม่มีปัญหาแต่
00:10:29 → 00:10:32 ถ้ามันสัมพันธ์กันไม่ดีอ่ะเช่นเกิดมีการ
00:10:32 → 00:10:35 หดตัวของหลอดเลือดทั่วไปมากเกินกว่าที่
00:10:35 → 00:10:38 ควรจะเป็นความดันคุณก็จะสูงขึ้นครับแต่
00:10:39 → 00:10:41 ถ้าเกิดมันหดไม่ได้ล่ะความดันคุณก็จะต่ำ
00:10:41 → 00:10:44 ลงครับดังนั้นเนี่ยสามารถเป็นไปได้ทั้ง 3
00:10:44 → 00:10:47 กรณีแต่กรณีของคุณป้าซึ่งเขามีปัญหา
00:10:47 → 00:10:51 เรื่องของความดันสูงอยู่แล้วมันจะมีโอกาส
00:10:51 → 00:10:54 ที่สิ่งเหล่าเนี้ยมันไม่สมดุลกันแล้วก็
00:10:54 → 00:10:56 เกิดเป็นความดันโลหิตที่มันสูงขึ้นมาฉับ
00:10:56 → 00:10:59 พลันในช่วงเวลานั้นได้นะครับแต่ความดัน
00:10:59 → 00:11:01 โลหิตที่สูงขึ้นบางคนก็อาจจะบอกว่าเอ้ย
00:11:01 → 00:11:03 อย่างงั้นความดันสูงก็ดีสิมันจะได้อัด
00:11:03 → 00:11:05 เลือดเข้าไปที่หลอดเลือดหัวใจหัวใจจะได้
00:11:05 → 00:11:09 รับเลือดเพิ่มขึ้นไม่ใช่ครับมันมีสิ่งนึง
00:11:09 → 00:11:13 ซึ่งหลายคนจำเป็นจะต้องเข้าใจก็คือหลอด
00:11:13 → 00:11:14 เลือดหัวใจที่มันตีบอยู่แล้วตั้งแต่แรก
00:11:14 → 00:11:18 เนี่ยมันจะได้รับเลือดในขณะที่หัวใจมัน
00:11:18 → 00:11:20 คลายตัวเท่านั้นไม่ใช่ในขณะที่หัวใจบีบ
00:11:21 → 00:11:26 ตัวนะครับเวลาปกติที่หัวใจมันบีบตัวเนี่ย
00:11:26 → 00:11:29 จะทำให้เราวัดแรงดันโลหิตได้เยอะขึ้นหัว
00:11:29 → 00:11:32 ใจคลายตัวแรงดันโลหิตจะต่ำลงนะครับแต่ไอ้
00:11:32 → 00:11:34 ช่วงหัวใจคลายตัวนี่แหละเป็นช่วงที่กล้าม
00:11:34 → 00:11:37 ในหัวใจมันคลายไอ้หลอดเลือดที่อยู่ในหัว
00:11:37 → 00:11:39 ใจมันก็เลยเอาเลี้ยเลือดไปเลี้ยงข้างใน
00:11:39 → 00:11:41 ได้ง่ายขึ้นแต่ทีเนี้ยมันตีบไงมันก็เลย
00:11:41 → 00:11:44 เอาเข้าไปไม่ได้ก็เลยเกิดปัญหาขึ้นมาที่
00:11:44 → 00:11:48 นี้เหมือนกันอินซูลินยังมีอีกเรื่องนึง
00:11:48 → 00:11:52 ครับคือมันสามารถทำให้ร่างกายเนี่ยดูด
00:11:52 → 00:11:55 โซเดียมไว้ได้เออนะครับอันเนี้ยมันเป็น
00:11:55 → 00:11:59 ที่รู้กันในหลอดทดลองกับในสัตว์ทดลองว่า
00:11:59 → 00:12:01 ถ้าเราให้อินซูลินเข้าไปในสัตว์นะครับมัน
00:12:01 → 00:12:04 จะทำให้ไตเนี่ยเก็บโซเดียมไว้มากขึ้นผล
00:12:04 → 00:12:08 อันเนี้ยในคนทั่วไปอาจจะไม่มีอะไรแต่ระยะ
00:12:08 → 00:12:10 ยาวอาจจะเกิดเรื่องได้ก็คือมันเก็บ
00:12:10 → 00:12:12 โซเดียมเื่องไว้ในร่างกายเยอะๆคุณเป็นไง
00:12:12 → 00:12:15 ครับบวมมีความดันสูงขึ้นนะครับอันนี้ก็
00:12:15 → 00:12:18 เป็นสิ่งที่เราเจอได้นะฮะแต่ผมไม่คิดว่า
00:12:18 → 00:12:20 เรื่องเนี้ยจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับคุณ
00:12:20 → 00:12:22 ป้านะครับน่าจะสิ่งที่เกี่ยวข้องกับคุณ
00:12:22 → 00:12:24 ป้าน่าจะเป็นเรื่องของsteีล phenomenal
00:12:24 → 00:12:27 ก็คือเป็นการที่หลอดเลือดของหัวใจเนี่ย
00:12:27 → 00:12:29 มันโดนดึงเลือดไปที่อื่นหมดนะครับหัวใจ
00:12:29 → 00:12:31 ต้องทำงานหนักขึ้นแต่เลือดมันไม่มีเพราะ
00:12:31 → 00:12:32 ว่าหลอดเลือดหัวใจมันอาจจะตีบหรืออะไรก็
00:12:32 → 00:12:36 แล้วแต่ทำให้มีปัญหานะครับแล้วก็เกิดความ
00:12:36 → 00:12:39 ไม่สมดุลระหว่างระบบประสาททั้ง 2 ระบบที่
00:12:39 → 00:12:40 หลอดเลือดขยายกับระบบที่ต้องหดกดหลอด
00:12:40 → 00:12:43 เลือดให้มันไม่สมดุลกันก็จะเกิดเรื่องพวก
00:12:43 → 00:12:47 นี้ขึ้นมานะครับนี่แหละที่ผมคิดว่าเกิด
00:12:47 → 00:12:51 ขึ้นในร่างกายของคุณป้าในขณะนี้นะฮะที่ทำ
00:12:51 → 00:12:55 ให้คุณป้าเกิดอาการเสียชีวิตได้นะครับและ
00:12:55 → 00:12:59 มีอย่างนึงครับที่เป็นที่รู้จักกันในการ
00:12:59 → 00:13:02 แพทย์เลยก็คือสิ่งที่เรียกว่า Post
00:13:02 → 00:13:05 Prendial Angena Post Prandial
00:13:05 → 00:13:08 Angena อะไร Post Prandial แปลว่าหลัง
00:13:08 → 00:13:12 อาหาร Angela แปลว่าการเจ็บแน่นหน้าอกจาก
00:13:12 → 00:13:15 ที่เกิดเพราะว่าหลอดเลือดหัวใจมันติดไป
00:13:15 → 00:13:16 อันเนี้ยเกิดเพราะว่าไอ้ steel
00:13:16 → 00:13:19 phenomenal เมื่อตะกี้ที่ผมบอกนี่แหละนะ
00:13:19 → 00:13:22 ครับเออแล้วอาการแบบไหนที่เราจำเป็นจะ
00:13:22 → 00:13:25 ต้องไปตรวจอย่างคุณป้าเนี่ย 2 รอบแรกน่ะ
00:13:25 → 00:13:28 ไม่ยอมไปคือเสียโอกาสที่จะมีโอกาสรอด
00:13:28 → 00:13:32 ชีวิตไป 2 ครั้งเต็มๆเลยนะแล้วอาการเนี่ย
00:13:32 → 00:13:35 เริ่มตั้งแต่ช่วงเย็นวันนั้นไปจบเอาตอน
00:13:35 → 00:13:37 2:00 น.ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วซึ่งแบบกี่
00:13:37 → 00:13:39 ชั่วโมงผ่านไปเนี่ยนานมากเลยนะทั้งๆที่
00:13:40 → 00:13:42 คุณป้ามีโอกาสรอดแล้วไม่ได้ไปตั้งแต่แรก
00:13:42 → 00:13:46 สิ่งที่ต้องรู้ก็คืออาการอะไรที่เป็นการ
00:13:46 → 00:13:49 เจ็บในอกแบบที่เราต้องไปหาหมอนะครับถ้า
00:13:49 → 00:13:51 เจ็บจากโรคหัวใจที่เป็นกล้ามเนื้อหัวใจ
00:13:51 → 00:13:54 ขาดเลือดนะครับมันจะเจ็บตรงกลางไม่ใช่
00:13:54 → 00:13:57 ข้างซ้ายอย่างที่หลายคนเข้าใจหัวใจของเรา
00:13:57 → 00:14:00 เนี่ยมันอยู่ตรงกลางนะครับตรงกลางหน้าอก
00:14:00 → 00:14:03 ตรงเนี้แหละนะฮะลักษณะการเจ็บเนี่ยมันจะ
00:14:03 → 00:14:07 เป็นการเจ็บเหมือนมีของหนักมาทับเหมือนมี
00:14:07 → 00:14:09 ช้างขึ้นมาเหยียบบนหน้าอกเราเลยอ่ะประมาณ
00:14:09 → 00:14:12 นั้นเลยไม่ใช่เจ็บแบบแป๊บๆจี๊ดๆหายใจแล้ว
00:14:12 → 00:14:15 เจ็บเหมือนมีดมาเสียดมาแทงไม่ใช่แบบนั้น
00:14:15 → 00:14:17 มันจะหนักๆเหมือนมีอะไรมาเหยียบอย่าง
00:14:17 → 00:14:20 เงี้ยนะครับแล้วจะมีอาการแน่นร้าวไปหลาย
00:14:20 → 00:14:23 ที่ได้เช่นร้าวมาที่ตรงบริเวณคางนะครับ
00:14:24 → 00:14:26 ตรงกรามตรงนี้ร้าวขึ้นกรามได้ร้าวไปแขน
00:14:26 → 00:14:30 ข้างซ้ายได้ร้าวไปข้างหลังได้นะครับแล้ว
00:14:30 → 00:14:33 ในขณะที่เป็นเนี่ยคนไข้เนี่ยจะรู้สึกไม่
00:14:33 → 00:14:37 สบายตัวเลยแบบกรณีของคุณป้าคนนี้คือจะมี
00:14:37 → 00:14:40 ความรู้สึกว่าใจไม่ดีนะครับใจไม่ดีเหงื่อ
00:14:41 → 00:14:44 เหงื่อออกเลยเหงื่อออกใจไม่ดีมันเจ็บลึกๆ
00:14:44 → 00:14:47 ข้างในนะอันเนี้ยคือเป็นอาการที่ต้องรีบ
00:14:47 → 00:14:51 พาไปหาหมอโดยด่วนเลยทีเดียวนะครับมันไม่
00:14:51 → 00:14:53 มีวิธีในการปฐมพยาบาลเบื้องต้นนะที่จะทำ
00:14:53 → 00:14:56 ให้มันหายบางคนบอกว่าอุ๊ยอย่างี้เดี๋ยว
00:14:56 → 00:15:00 เรามันเคยมีคนบอกว่าให้เราหายใจแล้วไอออก
00:15:00 → 00:15:02 มาแรงๆเพื่อกระตุ้นหัวใจอันนั้นไม่ต้องทำ
00:15:02 → 00:15:03 ครับไม่มีประโยชน์ใดๆทั้งสิ้นคุณรีบไปหา
00:15:03 → 00:15:06 หมอมันมีวิธีเดียวเลยครับที่ต้องทำก็คือ
00:15:06 → 00:15:10 ไปรักษาที่โรงพยาบาลนะครับอีกอย่างนึงบาง
00:15:10 → 00:15:12 คนอาจจะคิดว่าเอ๊ะคุณป้าเนี่ยเค้ากินน้ำ
00:15:12 → 00:15:15 อัดลมกับตัวทุเรียนเข้าไปมันจะทำให้เกิด
00:15:15 → 00:15:18 กรดไหลย้อนได้มั้มันแน่นเพราะอาการก็
00:15:18 → 00:15:21 คล้ายๆกันต้องบอกอย่างี้ครับว่าคุณอาจจะ
00:15:21 → 00:15:24 เข้าใจได้ถูกอยู่นิดนึงนั่นก็คือฮอร์โมน
00:15:24 → 00:15:26 เหล่าเนี้ยที่ผมได้พูดไปเมื่อกี้มันทำให้
00:15:26 → 00:15:29 กระเพาะอาหารเนี่ยบีบตัวได้ช้าลงมันก็จะ
00:15:29 → 00:15:31 แน่นโดยเฉพาะถ้าเกิดว่ามีปัญหาเรื่องลำ
00:15:31 → 00:15:33 ไส้ย่อยยากอยู่แล้วมันก็จะแน่นนะครับแล้ว
00:15:33 → 00:15:35 ก็อาจจะไหลย้อนขึ้นมาได้แต่อาการกรดไหล
00:15:35 → 00:15:38 ย้อนเนี่ยนะครับต้องบอกอย่างี้ว่ามันอาจ
00:15:38 → 00:15:43 จะมีแน่นแค่ตรงกลางแล้วไม่ร้าวไปไหนเลยนะ
00:15:43 → 00:15:47 ครับไม่ร้าวไปไหนนะบางคนก็จะมีแค่แน่นๆ
00:15:47 → 00:15:49 เฉยๆแต่เมื่อไหร่ก็แล้วแต่ที่แน่นแล้วมัน
00:15:49 → 00:15:53 รู้สึกเป็นมากขึ้นนะครับเป็นมากขึ้นมี
00:15:53 → 00:15:57 ร้าวไปบริเวณไหนมีเหงื่อออกตามร่างกายพวก
00:15:57 → 00:16:01 เนี้ยไปหาหมอเลยแล้วบางครั้งนะครับโดย
00:16:01 → 00:16:03 เฉพาะในผู้หญิงที่สูงอายุอาการกรดไหล่
00:16:03 → 00:16:06 ย้อนร้อนเนี่ยมันเหมือนเปี๊ยบเลยกับอาการ
00:16:06 → 00:16:08 โรคกล้ามเนื้อหายใจขาเลือดแบบแยกกันไม่
00:16:08 → 00:16:11 ได้เลยแล้วเนี่ยคือเป็นสิ่งที่ปกติในทาง
00:16:11 → 00:16:14 การแพทย์เราสอนกันว่าถ้าเราเจอผู้หญิงที่
00:16:14 → 00:16:18 สูงอายุมาโรงพยาบาลด้วยอาการแน่นหน้าอก
00:16:18 → 00:16:21 ถึงแม้ว่าจะสงสัยประวัติว่าเหมือนเปี๊ยบ
00:16:21 → 00:16:24 เร็วกับไอ้การที่เกิดกรดไหลย้อนคุณก็ต้อง
00:16:24 → 00:16:26 ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจให้แน่ใจว่ามันไม่ใช่
00:16:26 → 00:16:30 ปัญหาของหลอดเลือดหัวใจเนี่ยมันตีบแล้ว
00:16:30 → 00:16:33 กล้ามหัวใจกำลังขาดเลือดอยู่เพราะบางที
00:16:33 → 00:16:37 มันแยกกันไม่ได้เลยนะครับแยกกันไม่ได้นะ
00:16:37 → 00:16:40 ดังนั้นของคุณป้าเนี่ยสมมุติว่าคุณมีคนใน
00:16:40 → 00:16:42 ครอบครัวเป็นแบบคุณป้าแล้วมีอาการแน่น
00:16:42 → 00:16:45 หน้าอกขึ้นมารอบแรกคุณไม่ไปโรงพยาบาล
00:16:45 → 00:16:47 เนี่ยสมมุติว่าอาการมันเหมือนกับกรดไหล
00:16:47 → 00:16:49 ย้อนเปี๊ยเลยนะคุณอาจจะรอได้คุณอาจจะไม่
00:16:49 → 00:16:51 ทันคิดอะไรอันเนี้ไม่ผิดแต่ถ้ารอบที่ 2
00:16:51 → 00:16:54 มันไม่ดีขึ้นคุณต้องบังคับแล้วก็พาไปโรง
00:16:54 → 00:16:57 พยาบาลครับมันไม่มีวิธีอื่นๆที่เราจะทำ
00:16:57 → 00:17:01 ได้นะครับอ่ะอันนี้ก็ทีนี้เราจะทราบแล้ว
00:17:01 → 00:17:04 นะครับว่าทำไมการกินทุเรียนกับน้ำอารมณ์
00:17:04 → 00:17:07 มันถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้แล้วคน
00:17:07 → 00:17:09 ไหนที่เป็นความคนที่มีความเสี่ยงก็คือคน
00:17:09 → 00:17:11 ที่มีโรคประจำตัวต่างๆอย่างที่เล่าไป
00:17:11 → 00:17:13 เมื่อกี้นี้อันที่ 3 คืออาการแบบไหนคือ
00:17:13 → 00:17:16 อาการของโรคหัวใจแบบไหนคือกรดไหลย้อนแล้ว
00:17:16 → 00:17:18 แบบไหนที่มันเหมือนกันแล้วคุณจำเป็นจะ
00:17:18 → 00:17:22 ต้องไปหาหมอเพื่อตรวจแน่ๆนะครับแล้วสุด
00:17:22 → 00:17:25 ท้ายที่ผมอยากจะให้หลายๆคนรู้ไว้นะครับก็
00:17:25 → 00:17:29 คือคนทั่วไปถ้ากินเข้าไปอาจจะไม่เกิด
00:17:29 → 00:17:32 เรื่องแต่ถ้าเกิดเป็นคนที่มีปัญหามีความ
00:17:32 → 00:17:33 เสี่ยง
00:17:33 → 00:17:36 คุณอย่าทำแบบนี้นะครับถ้าทำแล้วมันเกิด
00:17:36 → 00:17:40 เรื่องแบบนี้ขึ้นมาให้รีดไปหาหมออย่าได้
00:17:40 → 00:17:43 รออยู่ที่บ้านเพราะว่ามันจะไม่ดีขึ้นนะ
00:17:43 → 00:17:47 ครับเพราะว่าผมรู้เลยว่าเวลาผมโพสต์อะไร
00:17:47 → 00:17:50 แบบเนี้ยจะมีคนที่บอกว่าตัวเองเคยกิน
00:17:50 → 00:17:53 ทุเรียนกับเบียร์เคยกินทุเรียนกับน้ำอัด
00:17:53 → 00:17:56 ลมหรือเคยกินทุเรียนเข้าไปตั้งเยอะแยะแยะ
00:17:56 → 00:17:58 ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนั่นก็เพราะว่าร่าง
00:17:58 → 00:18:01 กายของคุณมันยังปกติอยู่ไงครับแต่ถ้า
00:18:01 → 00:18:02 เมื่อไหร่คุณมีโรคประจำประจำตัวอย่างที่
00:18:02 → 00:18:05 ผมบอกเป็นโรคหัวใจโรคเบาหวานโรคความดัน
00:18:05 → 00:18:08 โรคเอ่อโรดเลือดสมองต่างๆนะครับหรือไขมัน
00:18:08 → 00:18:11 ในเลือดสูงแล้วมันเป็นเยอะๆเนี่ยมีโรคไต
00:18:11 → 00:18:13 โรคอะไรเต็มไปหมดยิ่งโดยเฉพาะถ้ามีหลายๆ
00:18:13 → 00:18:15 โรคร่วมกันนะครับแล้วคุณกินแบบนี้เข้าไป
00:18:15 → 00:18:19 คุณอาจจะเป็นก็ได้นะครับอ่างั้นวันนี้ผม
00:18:19 → 00:18:21 เล่าให้ฟังประมาณนี้แล้วกันนะครับถ้าใคร
00:18:21 → 00:18:23 มีข้อสงสัยอะไรก็สอบถามมานะครับขอบคุณมาก
00:18:23 → 00:18:27 ครับสวัสดีครับ