00:00:00 → 00:00:03 This Is Thai PBS podcast View the
00:00:03 → 00:00:05 world By The
00:00:05 → 00:00:08 Voice จริงๆแล้วการโกหกเนี่ยคนเราเนี่ย
00:00:08 → 00:00:11 มีข้ออ้างอยู่ 2 อย่างอย่างแรกก็คือเพื่อ
00:00:11 → 00:00:14 ปกป้องตัวเองนะฮะเช่นโกหกเพราะว่ากลัว
00:00:14 → 00:00:17 เสียหน้านะเพื่อปกปิดความผิดของตัวเอง
00:00:17 → 00:00:20 อะไรเงี้นะคะกับประเด็นที่ 2 ก็คือปกป้อง
00:00:20 → 00:00:23 คนอื่นเช่นถ้าเารู้แล้วเขาจะเจ็บปวดเขจะ
00:00:23 → 00:00:26 เสียใจจะทำให้เขาคโกรธกันมากกว่านี้หรือ
00:00:26 → 00:00:30 ทำให้เขาผิดใจกันขัดแย้งกันไม่ลงลอยกัน
00:00:30 → 00:00:32 อะไรอย่างงี้เป็นต้นแต่อย่างไรก็ตามเนี่ย
00:00:32 → 00:00:34 ค่ะอยากจะบอกว่าไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์
00:00:34 → 00:00:38 อะไรก็ตามเนี่ยมารู้ทีหลังว่าโกหกเนี่ย
00:00:38 → 00:00:40 มันล้วนแล้วแต่สร้างปัญหาให้ภายหลังทั้ง
00:00:40 → 00:00:42 นั้นแหละนะคะเพราะว่ามันเป็นการทำลายความ
00:00:42 → 00:00:45 ไว้วางใจของคน
00:00:45 → 00:00:49 อื่นฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคภยฟัง
00:00:49 → 00:00:53 รายการโรงหมอกับดิฉันสุรีพรวงสถิตพรค่ะ
00:00:53 → 00:00:57 this PBS podcast วันนี้ค่ะคุณผู้ฟัง
00:00:57 → 00:01:01 เราจะมาพูดคุยกันถึงเรื่องวิธีของการจับ
00:01:01 → 00:01:04 การโกหกนั่นเองนะคะวิธีจับโกหกเนี่ยเป็น
00:01:04 → 00:01:08 ยังไงเอ๊ะหรือการโกหกของใครในแบบไหนเนี่ย
00:01:08 → 00:01:11 นะเราดูมยเรารู้มว่าเนี่ยคือกำลังโกหก
00:01:11 → 00:01:14 อยู่นะคะเดี๋ยวคุยกับผู้ช่วยศาสตราจารย์
00:01:14 → 00:01:16 ดรจันท์วิภาดิโลสัมพันธ์ผู้ทรงคุณวุฒิ
00:01:16 → 00:01:19 มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาผู้
00:01:19 → 00:01:21 เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์และครอบครัวค่ะ
00:01:21 → 00:01:24 สวัสดีค่ะอาจารย์คะค่ะสวัสดีค่ะสวัสดีค่ะ
00:01:24 → 00:01:26 ท่านผู้ฟังทุกท่านค่ะวันนี้เราจะมาเป็น
00:01:26 → 00:01:30 สายสืบ
00:01:30 → 00:01:34 แล้วก็เป็นพนักงานสอบสวนด้วยเป็นทุกอย่าง
00:01:34 → 00:01:36 เลยเอ๊ะหรือเป็นตำรวจอยู่หรือเปล่านะคะ
00:01:36 → 00:01:42 กับรุ่นของวิธีการจับโกหกอ่าคือมันก็มี
00:01:42 → 00:01:45 หลายๆคำพูดเหมือนกันค่ะอาจารย์ว่าโกหกก็
00:01:45 → 00:01:50 เพื่อให้แบบจะได้สบายใจไม่ต้องคิดมากอ่า
00:01:50 → 00:01:53 เออหรือบางคนก็คือโกหกจริงๆตั้งใจโกหกมาก
00:01:53 → 00:01:57 ๆเลยไม่ต้องการบอกค่ะหรือบางทีก็จะแบบว่า
00:01:57 → 00:02:02 ก็มันจำเป็นเอ่อตกกระไดพอโจก็เลยก็โกหกมา
00:02:02 → 00:02:05 แล้วก็เลยโกหกยาวๆต่อไปค่ะอันนี้ก็ก็อยาก
00:02:05 → 00:02:09 จะบอกกับคุณสุรีพรแล้วก็เพื่อพวกทุกท่าน
00:02:09 → 00:02:11 ที่ฟังอยู่นะคะว่าจริงๆแล้วการโกหกเนี่ย
00:02:11 → 00:02:14 คนเราเนี่ยมีข้ออ้างอยู่ 2 อย่างอย่างแรก
00:02:14 → 00:02:18 ก็คือเพื่อปกป้องตัวเองนะฮะเช่นโกหกเพราะ
00:02:18 → 00:02:21 ว่ากลัวเสียหน้านะเพื่อปกปิดความผิดของ
00:02:21 → 00:02:23 ตัวเองอะไรงี้นะคะกับประเด็นที่ 2 ก็คือ
00:02:23 → 00:02:26 ปกป้องคนอื่นเช่นถ้าเขารู้แล้วเขาจะเจ็บ
00:02:26 → 00:02:30 ปวดเขาจะเสียใจนะฮะจะทำให้เคโกรธกันมาก
00:02:30 → 00:02:33 กว่านี้หรือทำให้เขาผิดใจกันขัดแย้งกัน
00:02:33 → 00:02:37 ไม่ลงลอยกันอะไรอย่างนี้เป็นต้นนะคะแต่
00:02:37 → 00:02:39 อย่างไรก็ตามเนี่ยค่ะอยากจะบอกว่าไม่ว่า
00:02:39 → 00:02:43 จะด้วยจุดประสงค์อะไรก็ตามเนี่ยนะคะมารู้
00:02:43 → 00:02:46 ทีหลังว่าโกหกเนี่ยมันล้วนแล้วแต่สร้าง
00:02:46 → 00:02:48 ปัญหาให้ภายหลังทั้งนั้นแหละนะคะเพราะว่า
00:02:48 → 00:02:51 มันเป็นการทำลายความไว้วางใจของคนอื่นนะ
00:02:51 → 00:02:54 คะเพราะฉะนั้นอันนี้เราต้องฝึกตั้งแต่
00:02:54 → 00:02:58 เป็นเด็กนะคะว่าว่าการโกหกไม่ใช่เรื่องดี
00:02:58 → 00:03:00 แต่ไม่ใช่ว่าโกหกแล้วทำโทษอย่างรุนแรงก็
00:03:00 → 00:03:02 จะยิ่งทำให้กลัวและโกหกมากขึ้นในอันนี้
00:03:02 → 00:03:05 ในายเด็กนะคะแต่ต้องให้เขาเข้าใจว่าทำไม
00:03:05 → 00:03:07 ต้องพูดความจริงอะไรอย่างงี้เป็นต้นเพราะ
00:03:07 → 00:03:09 ฉะนั้นการที่ไม่โกหกกันเนี่ยก็จะสร้างให้
00:03:09 → 00:03:12 เด็กเกิดความไว้วังใจพ่อแม่แล้วเื่อเเกิด
00:03:12 → 00:03:15 ปัญหามากขึ้นมากขึ้นมากขึ้นเมื่อเขอายุ
00:03:15 → 00:03:17 มากขึ้นตามลำดับเนี่ยยิ่งโดยเฉพาะช่วงวัย
00:03:17 → 00:03:20 รุ่นเนี่ยนะคะคุณสุวีพรลองนึกถึงตัวเองก็
00:03:20 → 00:03:22 แล้วกันตอนเป็นวัยรุ่นเราไม่ได้บอกพ่อแม่
00:03:22 → 00:03:25 ทุกเรื่องหรอกจริงมั้ยใช่นะฮะเพราะฉะนั้น
00:03:25 → 00:03:28 เนี่ยแต่เรื่องสำคัญๆเนี่ยนะคะเด็กก็จะ
00:03:28 → 00:03:31 กล้าที่จะพูดคุยกับพ่อแม่เพราะวัยรุ่น
00:03:31 → 00:03:34 เนี่ยไม่มีใครไม่มีปัญหาถูกมั้ยคะไม่มี
00:03:34 → 00:03:37 ใครที่ไม่เคยทำอะไรผิดค่ะนะคะแต่ปัญหา
00:03:37 → 00:03:41 นั้นมันเล็กหรือมันใหญ่และเขาจะไว้ใจพ่อ
00:03:41 → 00:03:44 แม่พอที่จะพูดความจริงกับพ่อแม่มั้ยอัน
00:03:44 → 00:03:46 นี้เป็นเรื่องสำคัญอเดี๋ยวนี้จะเห็นว่า
00:03:46 → 00:03:50 เรื่องการโกหกอ่ะมันเป็นอะไรที่เยอะขึ้น
00:03:50 → 00:03:52 ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆค่ะอาจารย์อย่างเช่นว่า
00:03:52 → 00:03:55 โกหกว่าตัวเองโดนจับไปโดนเรียกค่าถ่ายโดน
00:03:56 → 00:03:58 เรียกเงินก็จริงคือจริงๆจับตัวเองเนี่ย
00:03:58 → 00:04:00 เห็นบ่อยขึ้น
00:04:00 → 00:04:03 มมันแบบมันไม่ใช่แค่การโกหกธรรมดแต่มัน
00:04:03 → 00:04:07 เป็นการโกหกที่ทำให้เกิดหลายฝ่ายเกิดความ
00:04:07 → 00:04:09 เดือดร้อนได้เพราะว่าอะไรก็เพราะว่า
00:04:09 → 00:04:12 เดี๋ยวเนี้คนเราจะมองความสำคัญของเรื่อง
00:04:12 → 00:04:15 เงินมากค่ะถูกมั้ยคะเรื่องทรัพย์สินก็ดู
00:04:15 → 00:04:18 สิคะโทรหาเราทุกวันเี่คือมิจฉาชีพก็โกหก
00:04:18 → 00:04:21 ใส่เราทุกวันแหละค่ะนะฮะเพราะฉะนั้นคนที่
00:04:21 → 00:04:24 ทำความผิดใหญ่โตขึ้นอย่างที่คุณสุรีพรว่า
00:04:24 → 00:04:27 ก็การเห็นแบบอย่างในสังคมว่าเาทำแล้วเได้
00:04:27 → 00:04:30 นะฮะหรือว่าอะไรต่ออะไรแล้วก็ไม่เกรงกลัว
00:04:30 → 00:04:32 ในเรื่องของบาปบุญคุณโทษหรืออะไรต่างๆ
00:04:32 → 00:04:36 เหล่าเนี้ยกลับมองว่าเค้าหาได้อ่ะนะคน
00:04:36 → 00:04:39 อื่นโง่เองคนอื่นนั่นเองนี่เองถูกมั้ยคะ
00:04:39 → 00:04:41 เพราะฉะนั้นตรงเนี้ยก็เป็นอะไรที่เราควร
00:04:41 → 00:04:44 จะเอาคุณธรรมพื้นฐานเนี่ยใส่ลงไปค่ะนะคะ
00:04:44 → 00:04:47 โดยการเรื่องเล็กๆก่อนตั้งแต่เรื่องโกหก
00:04:47 → 00:04:50 เล็กๆก่อนนะคะเพราะฉะนั้นคนเหล่าเยเค้าเ
00:04:50 → 00:04:53 อาจจะเพราะตัวแบบในสังคมหรืออะไรเงี้ยนะ
00:04:53 → 00:04:55 คะที่มันไม่เหมือนสมัยก่อนที่เราจะเห็น
00:04:55 → 00:04:57 ได้ชัดเจนขึ้นแต่มันเห็นตัวแบบทางไม่ดี
00:04:57 → 00:05:00 มากขึ้นมากขึ้นมากขึ้นค่ะแล้วทำแล้วรวย
00:05:00 → 00:05:05 อ่ะทำแล้วได้ตังอ่ะอืถูกมั้ยคะอ้าล่ะนี้
00:05:05 → 00:05:08 ถ้าจะบอกว่าวิธีจับโกหกที่เราพูดกันนะฮะ
00:05:08 → 00:05:12 เอ่อก็ต้องบอกว่าเราต้องสังเกตนะฮะใช้การ
00:05:12 → 00:05:16 สสังเกตสัญญาณต่างๆซึ่งมีคนเขียนตำราไว้
00:05:16 → 00:05:19 เยอะแยะนะวิธีจับโกหกคุณสุรีพรเองก็รู้ใน
00:05:19 → 00:05:21 เรื่องของการสืบสวนสอบสวนอะไรอย่าเงี้นะ
00:05:21 → 00:05:24 คะก็จะมีหลักทางอาญาวิยากรรมวิยาอะไร
00:05:24 → 00:05:27 อย่างเงี้นะคะก็เยอะแยะไปหมดแต่พี่พภาขอ
00:05:27 → 00:05:30 ขอกรุ๊ปปิ้งมาให้ะกันนะคะภาขอพูดเป็น 3
00:05:30 → 00:05:33 กลุ่มที่เห็นชัดๆเพราะว่าเวลาของเราจำกัด
00:05:33 → 00:05:36 เนาะนะฮะก็คือมีกลุ่มที่เรามองสัญญาณหรือ
00:05:36 → 00:05:39 สังเกตสัญญาณเนี่ยนะคะที่พบบ่อยๆ 3 กลุ่ม
00:05:39 → 00:05:42 ด้วยกันกลุ่มที่ 1 ก็คือการเปลี่ยนแปลง
00:05:42 → 00:05:44 ทางกายภาพกลุ่มที่ 2 ก็คือการเปลี่ยนแปลง
00:05:44 → 00:05:47 พฤติกรรมของการพูดและวิธีการพูดและกลุ่ม
00:05:47 → 00:05:50 ที่ 3 ก็คือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอื่นๆ
00:05:50 → 00:05:53 ที่เกี่ยวข้องนะคะเราลองมาดูทีละอย่างอ
00:05:53 → 00:05:54 เหมือนได้เรียนพฤติกรรมศาสตร์กับอาจารย์
00:05:55 → 00:05:55 เลย
00:05:55 → 00:06:00 เนี่ยแหมเป็นวิชาที่จพิพาสอนแล้วนักศึกษา
00:06:00 → 00:06:03 ชอบมากนะคะวิธีเนี้ยะว่าจะไม่จับโกหกแฟน
00:06:03 → 00:06:06 อะไรอย่างนี้เป็นต้นนะคะค่ะอันแรกคือการ
00:06:06 → 00:06:09 เปลี่ยนแปลงทางกายภาพเนี่ยนะคะก็คือใน
00:06:09 → 00:06:12 เรื่องของพอเราโกหกใครปั๊บเนี่ยประสาท
00:06:12 → 00:06:15 ระบบประสาทอัตโนมัติเนี่ยมันจะทำงานทั้ง
00:06:15 → 00:06:18 ทีว่าเฮ้ยเราไม่ได้พูดความจริงนะมันก็จะ
00:06:18 → 00:06:20 เริ่มด้วยการที่การเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น
00:06:20 → 00:06:24 การหายใจเพิ่มขึ้นนะคะเพราะว่าระบบ
00:06:24 → 00:06:27 อัตโนมัติเนี่ยนะคะระบบประสาทอัตโนมัติ
00:06:27 → 00:06:30 ของร่างกายเนี่ยมันจะทำงานหนักมากนะคะ
00:06:30 → 00:06:32 เพราะมันรู้ว่าเราโกหกอยู่จากความเครียด
00:06:32 → 00:06:36 กลัวตื่นเต้นกลัวจับได้วุ่นวายใจอะไร
00:06:36 → 00:06:39 เงี้ยนะคะไม่สบายใจเมื่อเริ่มโกหกมันก็จะ
00:06:39 → 00:06:43 อย่าออกมาทางอาการเช่นเหงื่อออกนะคะหน้า
00:06:43 → 00:06:46 แดงหน้าซีดในบางคนนะคะบอกเอ๊ะทำไมหน้าแดง
00:06:46 → 00:06:48 แล้วหน้าซีดด้วยบางคนหน้าแดงบางคนหน้าซีด
00:06:48 → 00:06:53 นะคะมือสั่นหายใจแรงหายใจหอบทีอะไรเงี้ย
00:06:53 → 00:06:56 นะคะโดยเฉพาะเหงื่อที่บริเวณริมฝีปาก
00:06:56 → 00:06:58 เนี่ยนะคะกับบริเวณหน้าผากเนี่จะออกเยอะ
00:06:58 → 00:07:01 เลยทั้งที่ได้ร้อนทำไม่ได้ร้อนอยู่ห้อง
00:07:01 → 00:07:03 แอร์แท้ๆนี่แหละนะคะเพราะฉะนั้นต้องคอย
00:07:03 → 00:07:07 หัดสังเกตนะคะมากลุ่มที่ 2 ก็คือการ
00:07:07 → 00:07:10 เปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวกับการพูดและวิธีการ
00:07:10 → 00:07:13 พูดนะคะที่เห็นชัดๆอย่างแรกก็คือจะมี
00:07:13 → 00:07:17 ลักษณะพูดอึกอักๆอักเริ่มอึกอักและนะฮะ
00:07:17 → 00:07:21 ค่ะบางคนพูดเร็วขึ้นบางคนพูดช้าลงบางคน
00:07:21 → 00:07:25 พูดไม่ชัดและนะคะบางคนพูดทำเสียงสูงผิด
00:07:25 → 00:07:28 ปกติเสียงต่ำผิดปกติเช่นที่เเคยพูดบว่า
00:07:28 → 00:07:33 เวลาเพื่อนๆบอกว่าทำไมไปกับแฟนเหรอป้าวนะ
00:07:33 → 00:07:36 เสียงสูงเสียงเสียงสูงปี๊ดขึ้นมาทันทีเลย
00:07:36 → 00:07:38 อะไรเงี้ยนะคะเพราะะนั้นเนี่ยมันก็จะเป็น
00:07:38 → 00:07:42 ลักษณะที่เราพอจะมองออกอันที่ 2 ค่ะบางคน
00:07:42 → 00:07:47 พูดซ้ำไปซ้ำมาพูดวกวนโอ๊ยฉันไม่ได้ทำนะ
00:07:47 → 00:07:50 ฉันไม่ได้ทำนะอะไรอย่างเงี้ยนะคะโน้มน้า
00:07:50 → 00:07:52 เพื่ออะไรคะเพื่อที่จะโน้มน้าวให้คนฟังใน
00:07:52 → 00:07:56 เชื่อว่าเค้าไม่ได้โกหกหรือเค้าปกปิดความ
00:07:56 → 00:08:00 โกหกอยู่หรือบางคนเนี่ยใช้การถ่วงเวลาพูด
00:08:00 → 00:08:03 วกไปวนมาเนี่ยเพราะอะไรคะยื้อเวลายังคิด
00:08:03 → 00:08:05 ไม่ออกว่าจะพูดอะไรต่อไปหรือจะโกหกอะไร
00:08:05 → 00:08:10 ต่อไปดีโออ่ามันก็เลยซ้ำไปซ้ำมาทวนไปทวน
00:08:10 → 00:08:12 มาอยู่อย่างงั้นนะคะเพรานั้นก็ไม่แปลกใจ
00:08:12 → 00:08:14 หรอกค่ะว่าทำไมคุณตำรวจเให้เล่าเหมือน
00:08:14 → 00:08:17 เดิมเนี่ยซ้ำๆๆๆๆอยู่นั่นน่ะเผื่อมันจะ
00:08:17 → 00:08:21 หลุดมามั่งอะไรเงี้นะคะอันที่ 3 ค่ะบางคน
00:08:21 → 00:08:25 พูดมากเกินไปอ่านะฮะทำเหมือนเตัวเองเป็น
00:08:25 → 00:08:27 คนเปิดเผยเไม่ได้ถามซะหน่อยเล่าเลื่อย
00:08:27 → 00:08:30 เจื้อยเลยมาเป็นเรื่องเป็นราวเอเพื่อให้ค
00:08:30 → 00:08:35 อื่อในำนะจรายละเอียดที่มันเกินความจำทำ
00:08:36 → 00:08:38 ให้คนอื่นคิดว่าแมตัวเองเป็นคนเปิดเผยไม่
00:08:38 → 00:08:39 ไม่โกหก
00:08:40 → 00:08:44 หรอกนะฮะั้นก็ต้องคอยดูนะคะบางทีเนี่ยเรา
00:08:44 → 00:08:48 ดูข่าวในทีวีเนี่ยในบางเคสในบางใช้คำอะไร
00:08:48 → 00:08:50 คะบางคดีเนี่ยที่มาสัมภาษณ์คนนั้นคนนี้
00:08:50 → 00:08:53 ที่เกี่ยวข้องเราดูปั๊บเนี่ยเซนมันบอก
00:08:53 → 00:08:55 แล้วว่าไอ้เนี่ยต้องเกี่ยวข้องแน่ๆคน
00:08:55 → 00:08:59 เนี้ยนะคะมันพูดเหลือเกินพูดเกินไปนะฮะ
00:08:59 → 00:09:02 คดีใหญ่ๆที่เราเคยเคยผ่านพวกเรากันมาแล้ว
00:09:02 → 00:09:06 เราก็เห็นอยู่นะคะบางคนพูดไม่ออกค่ะนะฮะ
00:09:06 → 00:09:10 อาจบางแถมบางคนมีอาการกัดริมฝีปากหรือ
00:09:10 → 00:09:12 เม้มริมฝีปากด้วยเพราะอะไรคะเพราะระบบ
00:09:12 → 00:09:16 อัตโนมัติเอ่อระบบประสาทอัตโนมัติเนี่ย
00:09:16 → 00:09:20 มันจะลดการหลั่งของน้ำลายนะคะทำให้คอแห้ง
00:09:20 → 00:09:21 ค่ะปาก
00:09:21 → 00:09:25 แห้งพูดไม่ค่อออกอะไรอย่างเงี้ยนะคะเออนะ
00:09:25 → 00:09:29 คะอันต่อไปค่ะพยายามพูดเปลี่ยนเรื่องเช่น
00:09:29 → 00:09:32 ถามเรื่องนี้เปลี่ยนไปเรื่องโน้นเราถาม
00:09:32 → 00:09:33 เรื่องเไม่ตอบคำถามหรอกเปลี่ยนไปอีก
00:09:33 → 00:09:38 เรื่องนึงอในทีวีเราก็เจอบ่อยๆนะคะนะคะ
00:09:38 → 00:09:42 เหมือนคุ้นๆเลยอันต่อไปค่ะพยายามหลีก
00:09:42 → 00:09:45 เลี่ยงคำถามหรือตอบไม่ตรงคำถามอือ่าก็
00:09:45 → 00:09:48 อยากจะโกหกแหละแต่ว่ามันก็เปลี่ยนเรื่อง
00:09:48 → 00:09:51 ซะนะคะหลีกเลี่ยงคำถามนั้นซะไม่ตอบคำถาม
00:09:51 → 00:09:53 ซะอะไรอย่างเงี้ยนะคะคุณถามไม่ตรงคำตอบ
00:09:53 → 00:09:56 ของผมอ้ามันเป็นความผิดของคุณคุณถามไม่
00:09:56 → 00:10:00 ให้ตรงนะคะอันต่อไปค่ะพยายามพูดให้เชื่อ
00:10:00 → 00:10:03 ว่าจริงพูดอยู่นั่นแหละนะคะโดยเฉพาะถ้า
00:10:03 → 00:10:05 เป็นคู่ที่อันนี้เราไม่ได้เป็นตำรวจกับ
00:10:05 → 00:10:08 ผู้ร้ายเนาะสามีภรรยาเนี่ยนะคะเราก็อาจจะ
00:10:08 → 00:10:10 พูดโน้มเน้าให้เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง
00:10:10 → 00:10:14 พยายามยืนยันหาพยานบุคคลหรือว่าประเด็น
00:10:14 → 00:10:18 สุดท้ายของการพูดก็คือไหนๆก็ไหนๆและทำ
00:10:18 → 00:10:22 เป็นเอะอะโวยวายทำเป็นโกรธทำเป็นอะไรไปนะ
00:10:22 → 00:10:25 ฮะกลบเกลื่อนเพราะว่ารู้แล้วว่าถูกหาว่า
00:10:25 → 00:10:27 โกหกทำเอะอะไปซะเลยเพราะฉะนั้นพอทำเสียง
00:10:27 → 00:10:29 ดังเข้าอะไรเข้าทำเป็นโกรธเข้าอีกฝ่ายนึง
00:10:29 → 00:10:33 ก็อาจจะรามือไปอะไรอย่างงี้เป็นต้นนะคะ
00:10:33 → 00:10:36 เพราะฉะนั้นจะมีแบบนี้บ่อยๆนะคะอมีแอบมี
00:10:36 → 00:10:40 เทคนิคคนโกหกก็มีเทคนิคคนจับโกหกก็มี
00:10:40 → 00:10:43 เทคนิคในการจับโกหกนะนะคะเพราะฉะนั้นไอ้
00:10:43 → 00:10:46 เทคนิคเหล่าเนี้ยถ้าทำได้ดีมากๆอ่ะเเรียก
00:10:46 → 00:10:49 ว่าเนียนนะคะแต่ถ้าโกหกไม่เนียนเนี่ยมัน
00:10:49 → 00:10:52 จับได้ง่ายมากเก็จะบอกว่าไปเรียนมาใหม่
00:10:52 → 00:10:54 ไม่แต่ถ้าโกหกเนียนๆเนี่ยแสดงว่ามันต้อง
00:10:54 → 00:10:59 มีการโกหกมาช่ำชองโชคโชนถูกต้องจนรู้ว่า
00:10:59 → 00:11:02 จะต้องพูดยังไงหรือว่าแสดงกิริยาท่าทาง
00:11:02 → 00:11:05 ยังไงเถึงจะแบบเชื่อมั่นว่าเราไม่ได้โกหก
00:11:05 → 00:11:09 ใช่ค่ะค่ะนะคะทีนี้มากลุ่มที่ 3 ค่ะกลุ่ม
00:11:09 → 00:11:12 ของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอื่นๆนะคะออัน
00:11:12 → 00:11:17 แรกก็คือไม่สบตาค่ะหรือหลีกเลี่ยงการสบตา
00:11:17 → 00:11:20 นะฮะเช่นๆคนเนี้ยเราสนิทกันเนาะคุณสุรีพร
00:11:20 → 00:11:23 สนิทกับจันท์วิภาเนี่ยพอาจารย์วิภาถามเลย
00:11:23 → 00:11:27 คุณสุรีพรอยากจะโกหกอ่ะไม่ยอมสบตาเวลาตอบ
00:11:27 → 00:11:30 นะฮะหรือเอ่อพยายามหลีกเลี่ยงการสบตาอะไร
00:11:31 → 00:11:33 เงี้เป็นต้นนะฮะคมองอย่างอื่น
00:11:33 → 00:11:36 แทนมาประเด็นที่ 2 นะคะของพฤติกรรมอื่นก็
00:11:36 → 00:11:40 คือว่ามีการจ้องตาอย่างต่อเนื่องเพื่อ
00:11:40 → 00:11:42 อะไรคะเมื่อกี้นี้สบไม่สบตานะเมื่อกี้หลบ
00:11:43 → 00:11:46 ตานะแต่คราวนี้จ้องตาอย่างต่อเนื่องนะคะ
00:11:46 → 00:11:48 ไม่กระพริบตาเลยหรือกระพริบก็ปิ๊บเดียว
00:11:48 → 00:11:52 แล้วจ้องต่อถามว่าทำไมคะเพื่อข่มขู่ค่ะ
00:11:52 → 00:11:56 หรือเพื่อให้อีกฝ่ายนึงเนี่ยพยายามพยายาม
00:11:56 → 00:11:59 เชื่อนะคะเอ่อควบคุมให้เค้าเชื่อเชื่อเรา
00:11:59 → 00:12:02 อ่ะนึกออกมั้ยคะมันดูผิดธรรมชาติดีเนาะ
00:12:02 → 00:12:06 ใช่แต่เหมือนกับมีอิทธิพลไงอย่างเช่นสามี
00:12:06 → 00:12:08 ภรรยากันเงี้ยแกล้งจ้องหน้ากันแล้วก็บอก
00:12:08 → 00:12:11 ว่าป้าผมไม่อะไรเงี้ยนะคะเพื่อให้อีกฝ่าย
00:12:11 → 00:12:14 นึงเพก็เบอกว่าคนโกหกจะไม่สบตาไงนึกออก
00:12:15 → 00:12:17 มั้ยอบตฉันก็เลยจ้องเลย
00:12:18 → 00:12:23 ไงโอ๊ยนะคะเพราะว่าปกติเนี่ยการพูดจริง
00:12:23 → 00:12:25 เนี่ยคนเราคนที่พูดจริงเนี่ยขี้มักจะมอง
00:12:25 → 00:12:28 ไปรอบๆนะคะหรือมองข้างนอกเป็นครั้งคราว
00:12:28 → 00:12:31 ไม่ใช่ให้จ้องแบบนี้หรือว่าหลบตานะคะก็
00:12:31 → 00:12:35 เป็นอีกอันนึงที่เราพอจะมองได้นะคะอันต่อ
00:12:35 → 00:12:39 ไปก็คือการจับปากหรือปิดปากนะคะเพราะอะไร
00:12:39 → 00:12:43 คะเพราะไม่อยากรับมือกับปัญหาหรือคำตอบใด
00:12:43 → 00:12:46 ๆไม่อยากจะตอบอ่ะอืนึกออกมั้ยฮะก็เลยทำ
00:12:46 → 00:12:48 ท่าแบบเนี้ยนะคะโดยออกมาโดยที่ตัวเองไม่
00:12:49 → 00:12:52 รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่นะคะอันต่อไปค่ะ
00:12:52 → 00:12:56 การขยับหัวนะบางคนขยับหัวไปมาเช่นหันหัว
00:12:57 → 00:13:01 ก้มหัวเอียงนะฮะทันทีก่อนตอบคำถามมันก็
00:13:01 → 00:13:04 คือการไปวิงเวลาจะคิดว่าจะตอบไงดีวะอะไร
00:13:04 → 00:13:06 อย่างเงี้ยนึกออกมั้ยฮะแต่มันเป็น
00:13:06 → 00:13:10 ปฏิกิริยาที่คนเราไม่รู้ตัวเวลาทำแกดีค่ะ
00:13:10 → 00:13:14 นะคะค่ะอันต่อไปคือใช้มือของเราเนี่ยค่ะ
00:13:14 → 00:13:17 กุมตรงส่วนอื่นของร่างกายนะคะส่วนหนึ่ง
00:13:17 → 00:13:21 ส่วนใดก็ได้แบบไม่ตั้งใจเช่นพะเถามเอามือ
00:13:21 → 00:13:26 รูปทอยอยนะฮะเอามือจับหน้าอกนะฮะจับคอจับ
00:13:26 → 00:13:29 หน้าจับหน้าท้องอะไรก็แล้วแต่เนี่ยอืมัน
00:13:29 → 00:13:32 ก็ทำไปโดยไม่ไม่ได้ตั้งใจเหมือนกันแต่มัน
00:13:32 → 00:13:35 เป็นปฏิกิริยาของร่างกายเวลาที่คนเราโกหก
00:13:35 → 00:13:40 อ่ะนะฮะค่ะอันต่อไปค่ะกระดิกเท้านะฮะ
00:13:40 → 00:13:43 กระดิกเท้าหรือสั่นคเพื่ออะไรคะเวลาที่คน
00:13:43 → 00:13:46 เราตื่นเต้นหรืออึดอัดอ่ะบางทีเคยไแค่ที่
00:13:46 → 00:13:49 นั่งแล้วเขย่าเขย่าขาไปเนี่ยหรืออย่าง
00:13:49 → 00:13:52 เงี้ยนะคะมันจะแสดงถึงกำลังตื่นเต้นหรือก
00:13:52 → 00:13:55 กำลังอึดอัดต้องการออกจะไปจากสถานการณ์
00:13:55 → 00:13:58 นั้นน่ะอืนะฮะอันนี้ก็เป็นปฏิกริยาของคน
00:13:58 → 00:14:03 อีกเหมือนกันอือันต่อไปค่ะชี้นิ้วบ่อยๆ
00:14:03 → 00:14:05 ชี้อย่างงั้นชี้อย่างเงี้นะคะชี้เพื่อ
00:14:05 → 00:14:09 อะไรคะเพื่อกล่าวหาเรากนะคะหรือว่าพูดโวย
00:14:09 → 00:14:12 วายนะฮะโกรธที่เราจับผิดได้แหละก็เลยอย่า
00:14:12 → 00:14:15 นะคือมาพูดงนี้นะอะไรอย่าเงี้ยนึกออกมั้ย
00:14:15 → 00:14:21 คะทำไมคุนๆอ่านะคะทำไมคุ้นๆนะคะค่ะแล้วก็
00:14:21 → 00:14:25 อันต่อไปคือมีอาการอยู่ไม่สุขค่ะขยับตัว
00:14:25 → 00:14:27 ขยุกขยิกอะไรอย่าเงี้ยนะคะก็คล้ายๆกับการ
00:14:27 → 00:14:30 กระดิกเท้าอะไรเหมือนกัน
00:14:30 → 00:14:34 ตดเฉะพวกที่โกกไม่เียคมันยุกยิๆๆอยู่
00:14:34 → 00:14:38 เรื่อยเลยนะคะและอันต่อไปก็คือจากเมื่อ
00:14:38 → 00:14:41 กี้ยุกยิกใช่มั้ยคะนิ่งผิดปกติเลยค่ะนะฮะ
00:14:41 → 00:14:43 เพราะว่าร่างกายเกำลังต่อสู้กับระบบ
00:14:43 → 00:14:48 ประสาทอัตโนมัติอยู่นะคะจึงคุมนะคะแต่
00:14:48 → 00:14:50 ทั้งหมดทั้งมวลเนี่ยนะคะทั้ง 3 กลุ่มที่
00:14:50 → 00:14:53 บอกคนที่โกหกเกิ่งๆหรือคุมอาการของตัวเอง
00:14:53 → 00:14:56 ได้เนี่ยนะฮะมันก็จะทำให้โกหกได้เนียน
00:14:57 → 00:14:59 ขึ้นเรื่อยๆนะคะเพราะว่าตัวเองก็ก็จะคุม
00:14:59 → 00:15:03 ไอ้อาการเหล่าเนี้ยได้เก่งขึ้นเรื่อยๆงี้
00:15:03 → 00:15:06 ละกันนะฮะจนกระทั่งจับไม่ได้เลยบางคน
00:15:06 → 00:15:10 เนี่ยโอ้โหตาใสตาซื่อนะคะอย่างสมัยที่จาร
00:15:10 → 00:15:13 วิภาทำงานอยู่รับราชการอยู่เนี่ยเราต้อง
00:15:13 → 00:15:16 มีการสัมภาษณ์นักศึกษานะฮที่จะขอทุนให้
00:15:16 → 00:15:20 เปล่าอะไรเงี้ยอู้ยนะคะอาจารย์ใหม่ๆเนี่ย
00:15:20 → 00:15:22 สัมภาษณ์เด็กไปก็นั่งร้องไห้กันป้อยป้
00:15:23 → 00:15:24 ป้อยนะ
00:15:24 → 00:15:27 คะเพราะว่าเจอเด็กตีหน้าเศร้าเล่าความ
00:15:27 → 00:15:30 เท็จเยอะมากอ้าแล้วอาจารย์ทำไงคะนี่แหละ
00:15:30 → 00:15:32 ค่ะมันใช้วิชาพฤติกรรมศาสตร์ให้เป็น
00:15:32 → 00:15:34 ประโยชน์นี่แหละค่ะนะคะเพราะเราไม่ได้ถาม
00:15:34 → 00:15:37 เ้าอย่างเดียวแต่เราจะมีการหลอกล่อในคำ
00:15:37 → 00:15:41 ถามนั้นคำถามนี้อือสังเกตดูสิ่งของที่เขา
00:15:41 → 00:15:44 ใช้หรือการตอบคำถามว่ามันมีความเป็นเหตุ
00:15:44 → 00:15:46 เป็นผลมั้ยอะไรอย่างงี้เป็นต้นอะไรเงี้ย
00:15:46 → 00:15:49 นะคะค่ะเพราะฉะนั้นคนที่ยังจับไม่ได้
00:15:49 → 00:15:53 เนี่ยคนเป็นครูอ่ะนะหัวใจอ่อนทุกคนน่ะพอ
00:15:53 → 00:15:56 เด็กตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จเนี่ยซึ่งบาง
00:15:56 → 00:15:58 ทีอ่ะอย่างที่บอกว่าถ้าเราไม่กรองเนี่ย
00:15:58 → 00:16:02 ค่ะเด็กที่ไม่สมควรได้ทุนก็จะได้ทุนไปค่ะ
00:16:02 → 00:16:05 แล้วก็เอาไปเลี้ยงกันนึกออกมั้ยคะไม่ได้
00:16:05 → 00:16:08 เอาไปใช้เพื่อความจำเป็นทางการศึกษาจริงๆ
00:16:08 → 00:16:10 แต่เอาไปเลี้ยงกันเอาไปเที่ยวเอาไปอะไรใน
00:16:10 → 00:16:13 สิ่งที่ไม่สมควรเพราะฉะนั้นเราต้องคัด
00:16:13 → 00:16:16 กรองดีมากๆอะไรอย่างงนี้เป็นต้นนะคะอ
00:16:16 → 00:16:19 เหมือนนั้นสัญญาณเหล่าเนี้ยมีข้อที่จะ
00:16:19 → 00:16:22 เตือนอีกอย่างนึงก็คือทั้ง 3 กลุ่มที่เรา
00:16:22 → 00:16:24 กล่าวมาเนี่ยนะคะทั้งหมดนี้ก็อาจจะไม่ได้
00:16:24 → 00:16:27 แปลว่าโกหกเสมอไปนะคะบางครั้งก็อาจจะเป็น
00:16:27 → 00:16:31 สัญญาณของยอย่างอื่นเช่นอาการป่วยนะคะของ
00:16:31 → 00:16:34 เขาหรือการวิตกกังวลของเขาหรือการประหม่า
00:16:34 → 00:16:36 ของเขาก็ทำให้เกิดปฏิกิริยาเหล่านี้ได้
00:16:36 → 00:16:39 เหมือนกันนะคะเพราะฉะนั้นจะเราจะต้อง
00:16:39 → 00:16:42 พิจารณาทั้งบริบทแล้วก็สถานการณ์นั้นๆตัว
00:16:42 → 00:16:45 บุคคลของเขาด้วยอะไรด้วยอย่างเงี้ยนะคะ
00:16:45 → 00:16:48 ค่ะเถึงได้มีเครื่องมือจับเท็จมีอะไร
00:16:48 → 00:16:52 พัฒนาขึ้นมา่ใช่นะคะอือแต่ว่าก็อย่างบาง
00:16:52 → 00:16:56 คนเาก็คือบางคนไม่ได้โกหกนะพูดความจริง
00:16:56 → 00:16:59 แต่ปฏิกิริยาแบบนี้ของเามันมันมีออกมาใช่
00:16:59 → 00:17:04 ค่ะคือบางดถดว่ามันเกิดความรู้สึกรำคแล้ว
00:17:04 → 00:17:07 อย่างสมมติคู่สามีภรรยาหรือบางทีอาจจะรู้
00:17:07 → 00:17:10 สึกแบบทำไมไม่เชื่อก็พูดความจริงพูดความ
00:17:10 → 00:17:13 จริงก็ไม่เชื่อแต่พอโกหกก็อ้าเชื่อหรือ
00:17:13 → 00:17:15 อะไรอย่างเงี้ยมันก็จะเกิดความรู้สึกว่า
00:17:15 → 00:17:18 เอ้ยมันน่ารำคาญแล้วนะค่ะก็อันนี้เป็นอัน
00:17:18 → 00:17:20 นึงที่วิภาบอก
00:17:20 → 00:17:24 ว่าสมมุติว่าครั้งแรกเนี่ยโกหกด้วยความ
00:17:24 → 00:17:26 ปรารถนาอะไรก็แล้วแต่ล่ะที่จะปกป้องความ
00:17:26 → 00:17:29 รู้สึกอะไรก็แล้วแต่แล้วพอถูกจับได้จาก
00:17:29 → 00:17:32 นั้นเนี่ยความไม่เชื่อใจมันจะเกิดขึ้นต่อ
00:17:32 → 00:17:35 ให้คุณพูดความจริงอีกเท่าไหร่มันก็ไปติด
00:17:35 → 00:17:38 ภาพของการโกหกครั้งแรกแล้วค่ะนึกออกมั้ย
00:17:38 → 00:17:42 คะเออเพราะฉะนั้นตรงเนี้ยจึงบอกว่าไม่ว่า
00:17:42 → 00:17:45 คุณจะโกหกด้วยจุดประสงค์อะไรก็ตามไม่ควร
00:17:45 → 00:17:48 ทำหรอกค่ะนะฮะถ้าเป็นไปได้เนี่ยควรจะมา
00:17:48 → 00:17:50 พูดคุยกันเราอาจจะไม่ได้พูดต่อหน้าตรง
00:17:50 → 00:17:53 นั้นเพราะมีบุคคลที่ 3 ค่ะนึกออกมั้ยคะะ
00:17:53 → 00:17:56 เราก็มาคุยกัน 2 คนให้เร็วที่สุดเท่าที่
00:17:56 → 00:17:58 จะทำได้ว่าเมื่อกี้ทำไมต้องพูดแบบนั้นอื
00:17:58 → 00:18:01 อืนะฮะเพราะไม่งั้นมันจะเกิดความไม่เชื่อ
00:18:01 → 00:18:04 ใจกันไปอีกนานแสนนานต่อให้มารู้ว่าโกหก
00:18:04 → 00:18:07 ด้วยความรักก็เหอะหรือโกหกเพื่อปกป้อง
00:18:07 → 00:18:11 อะไรก็แล้วแต่ก็เหอะแต่บางทีมันก็มีโกหก
00:18:11 → 00:18:16 ซ้ำซ้อนคือซ้อนในความโกหกนั้นอีกใช่ค่ะ
00:18:16 → 00:18:17 มันก็เป็นเรื่องเป็นเรื่องซับซ้อนของแต่
00:18:17 → 00:18:22 ละกรณีอกยากนะฮฮคือบางคนเนี่ยใช้วิธีหลีก
00:18:22 → 00:18:25 เลี่ยงว่าว่าโกหกมาแล้วก็แล้วกันไปอะไร
00:18:25 → 00:18:27 อย่างเงี้ยแต่บางครั้งเ่ะค่ะมันก็มีผล
00:18:27 → 00:18:30 ย้อนกลับมาทีหลังเหมือนกันนะฮะเพราะ
00:18:30 → 00:18:33 ฉะนั้นก็ก็ต้องดูแล้วแต่พิจารณาแต่อย่าง
00:18:33 → 00:18:37 ที่บอกอค่ะว่ามันสร้างปัญหาให้เกิดขึ้น
00:18:37 → 00:18:40 ภายหลังเสมอเพราะว่ามันทำลายความเชื่อใจ
00:18:40 → 00:18:44 ของกันและกันแล้วอ่ะค่ะใช่ๆยิ่งถ้าเกิด
00:18:44 → 00:18:47 แบบเอ่อเจอคนอย่างบางคนเขาคก็ให้อภัยได้
00:18:47 → 00:18:51 นะคะอาจารย์เจอเจอโกหกบ่อยๆจนแบบว่าอก็
00:18:51 → 00:18:54 ให้อภัยแต่ถามว่าเลืมมั้ยคะไม่ลืมอ่ามัน
00:18:54 → 00:18:58 ไม่ทางลืมนะใช่ค่ะเออถูกมั้ยคะให้อภัยได้
00:18:58 → 00:19:01 กับคนที่เรารักเนี่ยโกหกเนี่ยเราเข้าใจ
00:19:01 → 00:19:04 แต่ความเชื่อใจมันไม่เหลือแล้วมันจะมีคำ
00:19:04 → 00:19:06 ถามอยู่ในใจถึงแม้จะไม่ได้พูดออกมาใช่
00:19:06 → 00:19:09 มั้ยคะอาจารย์ว่าแบบเฮ้ยเชื่อได้เปล่า
00:19:09 → 00:19:12 เนี่ยโกหกอยู่หรือเปล่าอะไรอย่างเงี้ยมัน
00:19:12 → 00:19:14 คำถามมันเยอะเกินไปมันไม่ควรเนาะใชใช่ค่ะ
00:19:14 → 00:19:17 ค่ะเพราะฉะนั้นก็พูดในในสิ่งที่เป็นความ
00:19:17 → 00:19:21 จริงแต่บางทีความจริงก็ทำไม่ค่ะถึงแม้ว่า
00:19:21 → 00:19:24 บางคนบอกว่าคนเรามันไม่ได้พูดจริงกันตลอด
00:19:24 → 00:19:27 เวลาทุกเรื่องหรอกนะฮะแต่อย่างน้อยที่สุด
00:19:27 → 00:19:29 เนี่ยพยายามลดลงให้มากมากที่สุดและอย่า
00:19:29 → 00:19:32 คิดว่าเรื่องนั้นไม่สำคัญนะฮะยิ่งเป็น
00:19:32 → 00:19:34 เรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา
00:19:34 → 00:19:38 ด้วยแล้วเนี่ยนะคะก็ถ้าเราเราอาจจะไม่ได้
00:19:38 → 00:19:41 บอกกันทุกเรื่องหรอกในเรื่องของตัวตนของ
00:19:41 → 00:19:43 เราอ่ะแต่บางอย่างที่เป็นเกี่ยวข้องกับ
00:19:43 → 00:19:46 ความสัมพันธ์ของเราเนี่ยเราไม่ควรจะโกหก
00:19:46 → 00:19:52 กันอืนะคะคำว่าโกหกกับคำกับกับการปิดบัง
00:19:52 → 00:19:56 มันมันก็อาจจะคล้ายกันหรือไม่คล้ายกันก็
00:19:56 → 00:19:59 ได้มันขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราปิดบังนมัน
00:20:00 → 00:20:03 เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของเรามั้ยอื
00:20:03 → 00:20:06 ใช่มั้ยคะอือก็คงต้องเหมือนกับว่าต้องดู
00:20:06 → 00:20:09 เป็นรายละเอียดเป็นกรณีไปแล้วก็เป็น
00:20:09 → 00:20:13 เรื่องๆไปอคแต่เขาคก็มีอันนี้ไม่รู้พูด
00:20:13 → 00:20:16 ได้หรือเปล่าแต่ก็เอาเอาแบบว่ากว้างๆไว้
00:20:16 → 00:20:20 แล้วเบอกว่ามันมีบางบางอาชีพที่แบบว่านะ
00:20:20 → 00:20:23 เราก็จะต้องแบบพูดเพื่อให้เขาอ่ะเลือกเรา
00:20:23 → 00:20:26 อือพูดเพื่อให้เลือกเราซึ่งสิ่งเหล่านั้น
00:20:26 → 00:20:29 น่ะมันอาจจะเกิดหรือมันไม่เกิดก็ได้แต่
00:20:29 → 00:20:32 พูดเหมือนแบบคนที่ชอบในเรื่องของความหวัง
00:20:32 → 00:20:34 พูดในเรื่องของความหวังของคนพอถึงเวลา
00:20:34 → 00:20:37 เข้าไปทำหน้าที่ตรงนั้นแล้วอ้าวกลายเป็น
00:20:37 → 00:20:38 ว่าทำไม่
00:20:38 → 00:20:42 ได้อาจารย์นึกออกแล้วใช่มั้ยว่าคืออะไร
00:20:42 → 00:20:45 อันนั้นมันมันก็ออกเ้าจะเรียกอะไรโกหกโดย
00:20:45 → 00:20:46 สุจริต
00:20:46 → 00:20:50 เหรอยังไงมันก็เป็นสำหรับอาชีพบางอาชีพ
00:20:50 → 00:20:54 เนาะละไว้ในฐานที่เข้าใจใช่ๆๆเอ้ออาจารย์
00:20:54 → 00:20:59 อย่างคำว่าโกหกโดยสุจริตมันก็โกหกมอ่ะมัน
00:20:59 → 00:21:02 จะมาสุจริตยัง
00:21:02 → 00:21:06 ไงอันเนี้ยทางการแพทย์เราเนี่ยนะคะบางที
00:21:06 → 00:21:09 สมัยก่อนนี้เราจะมีคำพูดว่าเป็นโกหกสีขาว
00:21:09 → 00:21:13 นะคำว่าโกหกสีขาวก็คือการโกหกเพื่อเพื่อ
00:21:13 → 00:21:17 ประสงค์ดีกับคนไข้อ๋อนึกออกมั้ยคะเพื่อ
00:21:17 → 00:21:20 ประสงค์ดีกับคนไข้แต่ในปัจจุบันเนี่ยมัน
00:21:20 → 00:21:23 ก็จะมีในเรื่องของสิทธิมนุษยชนอะไรต่างๆ
00:21:23 → 00:21:26 ออกมานะฮะที่บอกว่าคนไข้เมีสิทธิ์ที่จะ
00:21:26 → 00:21:30 รู้อว่าเเป็นอะไรอะไรยังไงอะไรอย่างเงี้ย
00:21:30 → 00:21:33 ค่ะเพราะฉะนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับตัวคนไข้
00:21:33 → 00:21:37 ด้วยเนาะว่าคนไข้เี่พร้อมจะรับมยอย่าง
00:21:37 → 00:21:40 เช่นคนไข้บางคนเนี่ยค่ะโอ๊ยหมอบอกมาเลยผม
00:21:40 → 00:21:43 รับได้หมดผมเป็นโรคอะไรผมรับได้ทั้งนั้น
00:21:43 → 00:21:47 นะเข้มแข็งแสดงความแมนมากนะฮะสมัยก่อนนะ
00:21:47 → 00:21:50 ลูกย้อนหลังไปหลายปีนะฮะพอบอกว่าเป็น
00:21:50 → 00:21:52 มะเร็งเท่านั้นค่ะผู้รุ่งขึ้นแกเสียชีวิต
00:21:52 → 00:21:56 เลยวายใจมันไปแล้วไงสำหรับสมัยก่อนเนี่ย
00:21:56 → 00:21:59 มะเร็งเนี่ยมันเป็นอะไรน่ากลัวมาก 40 ปี
00:21:59 → 00:22:01 ที่แล้วนะคะเป็นอะไรที่รู้ว่าไม่มีทาง
00:22:01 → 00:22:05 รักษาอืนึกออกมั้ยคะค่ะก็ใจไม่สู้แล้วตาย
00:22:05 → 00:22:08 เลยวันรุ่งขึ้นเฮยอย่างเงี้ยค่ะเพราะนั้น
00:22:08 → 00:22:11 สมัยก่อนเนี่ยคนไข้ที่เป็นมะเร็งเนี่ยเขา
00:22:11 → 00:22:13 จะต้องให้แพทย์เท่านั้นที่ตัดสินใจได้ว่า
00:22:13 → 00:22:16 จะบอกคนไข้มั้หรือไม่บอกในสมัยก่อนนะฮะอ
00:22:17 → 00:22:18 แต่ในปัจจุบันเนี่ยมันเป็นเรื่องของสิทธิ
00:22:18 → 00:22:23 มนุษยชนและนะฮะซึ่งบางครั้งคนไข้เองเนี่ย
00:22:23 → 00:22:27 ก็รู้อยู่ว่าตัวเองเป็นอะไรอืแต่ก็ญาติ
00:22:27 → 00:22:30 เนี่ยมักจะกลัวไม่กล้าบอกหมออย่าบอกคนไข้
00:22:30 → 00:22:32 นะอะไรนะเดี๋ยวใจเสียหรืออะไรอย่างเงี้ย
00:22:32 → 00:22:35 นะคะก็ยังเป็นเรื่องที่ทั้งหมอและญาติ
00:22:35 → 00:22:38 เนี่ยต้องปรึกษาหารือกันว่าสมควรมั้ยอะไร
00:22:38 → 00:22:42 มั้ยแต่คนไข้บางคนเก็มีประสบการณ์ชีวิต
00:22:42 → 00:22:46 มากเนาะท่านก็จะบอกว่าบอกมาเถอะอืออย่ามา
00:22:46 → 00:22:49 โกหกเลยรู้อยู่และอะไรอย่างเงี้ยนะคะ
00:22:49 → 00:22:51 เพราะฉะนั้นอันนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้อง
00:22:51 → 00:22:54 พิจารณาร่วมกันค่ะนะฮะไอ้การโกหกสีขาว
00:22:54 → 00:22:56 อย่างที่บอกเนี่ยบางทีมันก็ช่วยในเรื่อง
00:22:56 → 00:23:00 ของกำลังใจเรื่องของอะไรหลายๆอย่างอือฮึ
00:23:00 → 00:23:02 นะคะที่จะบอกไม่ได้ว่าอันนี้มันใช่การ
00:23:02 → 00:23:06 โกหกมั้ยนะฮะหรือการปกปิดความผิดมั้ยอะไร
00:23:06 → 00:23:09 ต่างๆเหล่าเนี้ยอมันก็มีทั้งแบบว่าการพูด
00:23:09 → 00:23:12 ไม่จริงคือถ้าพูดคำว่าโกหกมันก็ดูเหมือน
00:23:12 → 00:23:15 แบบว่าชันไม่ดีคอะไรเงี้ยแต่แบบอาจจะแบบ
00:23:15 → 00:23:20 เออพูดไม่หมดพูดไม่ชัดเอ่อปกปิดหรือไม่
00:23:20 → 00:23:22 ได้พูดความจริงทั้งหมดหรืออะไรเงี้ยมันก็
00:23:22 → 00:23:26 มันก็มีหลายๆคำที่มันใช้ค่ะได้แต่ทั้งที่
00:23:27 → 00:23:29 อย่างที่อาจารย์บอกคือปูวังตั้งแต่เด็ก
00:23:29 → 00:23:33 ว่าในเรื่องของการที่โกหกให้น้อยค่ะจะดี
00:23:33 → 00:23:35 กว่าค่ะจะได้ไม่แล้วก็ต้องแยะให้ให้เด็ก
00:23:35 → 00:23:40 เข้าใจคำคำว่าโกหกกับมารยาทด้วยนึกออก
00:23:40 → 00:23:43 มั้ยคะในบางครั้งเนี่ยเราต้องพูดบางอย่าง
00:23:43 → 00:23:45 เพื่อเป็นมารยาทเช่นสมมุติว่าอะไรอ่ะ
00:23:45 → 00:23:47 เพื่อนบ้านเค้าเอาทำกับข้าวมาให้อย่าง
00:23:47 → 00:23:51 เงี้ยนะฮะซึ่งเค้าก็เอามาให้ด้วยน้ำใจอ่ะ
00:23:51 → 00:23:53 แต่เรามาลองรับประทานแล้วมันไม่อร่อยเลย
00:23:53 → 00:23:57 อ่ะนะฮะแต่พอเมาถามว่าเป็นไงคะดีมั้ยเรา
00:23:57 → 00:24:01 จะบอกบอกโอ้โหไม่อร่อยเลยมันมันก็ไม่ได้
00:24:01 → 00:24:04 นะฮะอันนี้ได้กับที่บ้านนะคะหลานเนี่ยนะ
00:24:04 → 00:24:07 ฮะคือความเป็นเด็กอ่ะแกก็ซื่อใช่มั้ยพอ
00:24:07 → 00:24:11 เราบอกว่าค่าดีค่ะรถดีค่ะพอกลับไปแล้วดี
00:24:11 → 00:24:14 นะแกไม่พูดต่อหน้าพอเกลับไปแล้วบอกทำไม
00:24:14 → 00:24:18 เราไม่บอกว่ามันไม่อร่อยล่ะ
00:24:18 → 00:24:22 คะเด็กชอบพูดความจริงเด็กไม่โกหกเราก็เลย
00:24:22 → 00:24:25 บอกว่ามันมันเอ่อเราต้องรักษาน้ำใจบ้าง
00:24:25 → 00:24:29 ลูกคุณป้าอุตส่าห์ทำมาให้เอออะไรเงี้มัน
00:24:29 → 00:24:31 ก็ไม่ได้ถึงกับเลวร้ายหรอกอะไเราก็ไม่
00:24:31 → 00:24:35 ต้องไปพูดตรงๆนะคะเราก็บอกว่าดีค่ะรถดี
00:24:35 → 00:24:38 ค่ะอะไรอย่างเงี้ยใช่บางทียังไม่ทันจะหัน
00:24:38 → 00:24:41 หลังไปพ้นเสาไฟเลยโอโหได้ยิน
00:24:41 → 00:24:45 แล้วอย่างเยค่ะก็ต้องใช่มบางทีเนี่ยพ่อ
00:24:45 → 00:24:49 แม่บางคนก็รับโทรศัพท์แล้วก็บอกว่าไม่
00:24:49 → 00:24:52 อยู่อะไรอย่างเงี้ยทั้งๆที่เพจะมีธุระที่
00:24:52 → 00:24:55 จะต้องออกไปอะไรเงี้ยค่ะพอวางสายทำไมคุณ
00:24:55 → 00:24:57 แม่บอกว่าไม่อยู่หร่ะคะก็แล้วพวกเราอยู่
00:24:57 → 00:25:00 บ้านนี้อะไรอย่างเงี้ยไหนสอนไม่ให้โกหกไง
00:25:00 → 00:25:03 เออนะคะเพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าให้เด็ก
00:25:03 → 00:25:04 ลำบาก
00:25:04 → 00:25:08 เนาะเวลาที่บ้านมีเด็กเนี่ยบางทีเราก็
00:25:08 → 00:25:11 ต้องแยกแยะระหว่างคำว่าโกหกกับมารยาททาง
00:25:11 → 00:25:13 สังคมอะไรอย่างเงี้ยค่ะก็ต้องชี้แจงให้
00:25:13 → 00:25:18 เขาคเข้าใจแม่บอกว่าให้บอก
00:25:18 → 00:25:22 ว่าจบมาหลายรายแล้วค่ะโอเคนะคะก็เอาเป็น
00:25:22 → 00:25:25 ว่าได้รู้วิธีแต่ว่ามันไม่ได้สามารถใช้
00:25:25 → 00:25:29 ได้ทุกอย่างกับทุกคนบางทีเไม่ได้โกหกแต่
00:25:29 → 00:25:31 อาจจะเป็นพฤติกรรมหรือว่าเขเป็นโรคอันนี้
00:25:31 → 00:25:34 อยู่ก็เกิดแบบอย่างนี้ได้นะคะขอบคุณ
00:25:34 → 00:25:37 อาจารย์จันทร์วิภาค่ะสวัสดีค่ะหมดเวลา
00:25:37 → 00:25:39 แล้วค่ะพบกันใหม่ครั้งหน้ากับรายการโรง
00:25:39 → 00:25:42 หมอไทย PBS podcast ค่ะวันนี้ลาไปก่อนนะ
00:25:42 → 00:25:46 คะสวัสดีค่ะ This Is Thai PBS podcast
00:25:46 → 00:25:48 สัตว์ชนิดหนึ่งที่เป็นปัญหาใหญ่ของชุมชน
00:25:48 → 00:25:51 เมืองคือหนูสัตว์ที่เป็นพหะนำโรคมาสู่
00:25:51 → 00:25:54 มนุษย์ศาสตราจารย์นายสัตวแพทย์ดรสถาพร
00:25:54 → 00:25:58 จิตปภามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มาบอกให้รู้
00:25:58 → 00:26:01 ครับคือความจริงเนี่ยบริเวณไหนที่มีหนูนะ
00:26:01 → 00:26:04 ฮะให้สังเกตได้ว่ามันมักจะมีอาหารนะฮะ
00:26:04 → 00:26:08 ซึ่งเอ่อในในประเทศไทยเนี่ยจะประเภทกิน
00:26:08 → 00:26:10 ไม่ค่อยเป็นที่นะครับเพราะฉะนั้นอาหารหนู
00:26:10 → 00:26:12 มันจะเกลื่อนไปหมดนะครับเพราะฉะนั้นก็จะ
00:26:12 → 00:26:14 เป็นแหล่งที่มาว่าถ้าอาหารอยู่ที่ไหนหนู
00:26:15 → 00:26:17 ก็จะตามมาอยู่นะครับเพราะงั้นในทุกบ้านนะ
00:26:17 → 00:26:20 ครับที่มีการจัดการเกี่ยวกับเรื่องอาหาร
00:26:20 → 00:26:21 ทั้งอาหารคนทั้งอาหารสัตว์เนี่ยถ้าไม่
00:26:21 → 00:26:24 เป็นระเบียบเรียบร้อยเนี่ยมันก็จะเป็นตัว
00:26:24 → 00:26:27 ดึงเอาหนูพวกเนี้เข้ามาอยู่ในบ้านเรานะ
00:26:27 → 00:26:29 ครับค่ะซึ่งอันนี้เราก็มักจะพบเป็นประจำ
00:26:29 → 00:26:32 เกือบทุกบ้านฮะส่วนใหญ่มักจะต้องมีถ้าเรา
00:26:32 → 00:26:35 สังเกตดีๆอาจจะมีหนูที่วิ่งอยู่ตามฝ้านะ
00:26:35 → 00:26:38 อ่าใช่กับหนูที่วิ่งอยู่ตามพื้นนะครับมัน
00:26:38 → 00:26:41 จะมีความแตกต่างกันเพราะว่าหนูเนี่ยมัน
00:26:41 → 00:26:43 มันมีลักษณะของแฮบิตหรือสภาพแวดล้อมที่
00:26:43 → 00:26:46 มันต้องการเนี่ยแตกต่างกันนะครับค่ะแต่
00:26:46 → 00:26:50 ที่เรากังวลนอกจากเอ่อกังวลโดยตรงก็คือ
00:26:50 → 00:26:54 เรื่องโรคนะครับที่ที่อาจจะเป็นสาเหตุของ
00:26:54 → 00:26:57 เอ่อโรคหลายอย่างอย่างโรคฉี่หนูเอ่อโรค
00:26:57 → 00:27:00 ไวรัสอย่างพวกพวกฮันตาไวรัสนะครับเอ่อกาล
00:27:00 → 00:27:03 โรคนี้ไม่ค่อยมีะนะฮะค่อนข้างน้อยะก็ก็
00:27:03 → 00:27:06 หนูก็เคยเป็นปัจจัยหลักของการนำกาโรคที่
00:27:07 → 00:27:09 ระบาดไปทั่วโลกนะครับซึ่งอันนั้นก็ทำให้
00:27:09 → 00:27:11 คนตายจำนวนมากนะครับอค่ะทีนี้ในประเทศไทย
00:27:11 → 00:27:14 เนี่ยนอกจากนำโรคโดยตรงแล้วเนี่ยอีกอัน
00:27:14 → 00:27:17 ที่ต้องระวังก็คือเรื่องความเสียหายนะ
00:27:17 → 00:27:19 ครับเพราะเราจะพบได้ว่าหนูอยู่ที่ไหน
00:27:19 → 00:27:23 เนี่ยมันจะเกิดสภาพที่เ่อไม่น่าดูนะครับ
00:27:23 → 00:27:26 อย่างเช่นสิ่งของต่างๆเนี่ยหนูเป็นสัตว์
00:27:26 → 00:27:28 ฟันแทะนะครับค่ะเพราะฉะนั้นมันจะต้องใช้
00:27:28 → 00:27:30 ฟันรับฟันมันตลอดเพราะฉะนั้นมันก็จะกัด
00:27:30 → 00:27:32 ทุกอย่างที่อยู่โดยรอบนะครับอใช่กัดเพื่อ
00:27:32 → 00:27:35 กินอาหารกัดเพื่อเอาไปสร้างรังหรือกัด
00:27:35 → 00:27:38 สิ่งอื่นๆนะครับที่มันจะต้องจะต้องใช้
00:27:38 → 00:27:40 เพื่อรับฟันนะครับเพราะฉะนั้นเราก็จะเห็น
00:27:40 → 00:27:44 ภาพของเอ่อขอมันจะกระจุยกระจายนะครับ
00:27:44 → 00:27:47 อย่างสายไฟเนี่ยเอ่อตามบ้านเนี่ยอันนึง
00:27:47 → 00:27:50 ที่ต้องระวังก็คือถ้ามีหนูอยู่เนี่ยมันมี
00:27:50 → 00:27:53 โอกาสที่จะกัดสายไฟอืทำให้เกิดไฟช็อตได้
00:27:53 → 00:27:56 นะครับแล้วก็ทำให้เกิดไฟดับได้ในในบางใน
00:27:57 → 00:28:00 บางบ้านนะฮะเพะถ้าเกิดมีมากๆจริงๆเนี่ย
00:28:00 → 00:28:02 เอ่อหนูเนี่ยเป็นสัตว์อีกประเภทนึงที่ให้
00:28:02 → 00:28:05 ลูกเร็วหนูตัวเมียตัวนึงเนี่ยอาจจะให้ลูก
00:28:05 → 00:28:06 ได้ตั้งแต่
00:28:06 → 00:28:10 30-50 ตัวนะต่อปีนะครับหนูมันจะมีหลาย
00:28:10 → 00:28:13 สายพันธุ์ด้วยนะฮะแล้วก็เอ่อมีขนาดที่แตก
00:28:13 → 00:28:16 ต่างกันนะครับไที่เราเห็นตัวใหญ่ๆเนี่อาจ
00:28:16 → 00:28:18 จะเป็นพวกพันธุ์เเรียกนวิคัหรือพวกหนู
00:28:18 → 00:28:21 นอร์เวย์พวกนั้นนะฮะตัวนั้นนี่เกือบใหญ่
00:28:21 → 00:28:23 สุดได้เกือบครึ่งกโลเหมือนกันมันยังมีเ้า
00:28:23 → 00:28:27 เรียกเอ่อหนูท้องขาวที่เป็นตระกูลเลตััส
00:28:27 → 00:28:30 นะครับหนูนเวนี่คือแลคตัสนวิสนะครับเอ่อ
00:28:30 → 00:28:34 หนูท้องขาวเนี่ยจะเป็นหนูแคตัสัสซึ่งเรา
00:28:34 → 00:28:37 มีเป็นประจำอยู่แล้วนะครับซึ่งขนาดมันก็
00:28:37 → 00:28:39 จะเล็กลงวนิดหน่อยอนะครับถ้าตรงนั้นมัน
00:28:40 → 00:28:43 เกือบครึ่งกลอันนี้อาจจะสัก 3 ขีดหรือไม่
00:28:43 → 00:28:46 เกิน 4 ขีดค่ะแต่ว่าไซส์ก็ใกล้ๆกันนะครับ
00:28:46 → 00:28:49 เ่าบางทีก็ขึ้นอยู่กับอาหารสภาพแวดล้อ
00:28:49 → 00:28:51 เหมือนกันค่ะไซส์อาจจะเหมือนๆกันเลยก็ได้
00:28:51 → 00:28:53 นะเพราะเป็นตระกูลเดียวกันนะครับแล้วก็
00:28:53 → 00:28:56 เป็นปัญหาต่อคนที่อยู่โดยรอบแล้วสภาพแวด
00:28:56 → 00:28:58 ล้อมครับอ
00:28:58 → 00:28:59 [เพลง]
00:28:59 → 00:29:03 This Is Thai PBS
00:29:03 → 00:29:06 podcast ติดตามรายการของ Thai PBS
00:29:06 → 00:29:08 podcast ได้ทางเว็บไซต์
00:29:08 → 00:29:23 www.thaipbs.or.th
00:29:23 → 00:29:28 [เพลง]
00:29:28 → 00:29:31 อ