00:00:00 → 00:00:03 วันนี้ค่ะเรา 2 คนจะมาขอรบกวนค่ะขอความ
00:00:03 → 00:00:05 รู้อาจารย์ค่ะอยากจะถามค่ะชื่อยากๆของโรค
00:00:05 → 00:00:09 จอประสาทตราเสื่อมเนี่ยค่ะ V KS เค่ะ
00:00:09 → 00:00:11 หรือว่าอีกทีนะคะดีมพี่ก็ต้องให้ซีมชื่อ
00:00:11 → 00:00:19 แล้วโวคากิดาโวคโคนิโคนิฮาดะฮาดะฮาดะโห
00:00:19 → 00:00:22 ชื่อยากมาชื่อมันยากมากเลยค่ะอาจารย์มัน
00:00:22 → 00:00:24 มาจากชื่อของอะไรคะแล้วมันที่มาที่ไปค่ะ
00:00:24 → 00:00:26 ทำไมมันถึงชื่อยากขนาดนี้เกิดขึ้นที่
00:00:26 → 00:00:30 ญี่ปุ่นหรือว่าหรือว่าโลกนี้มันเป็นยังไง
00:00:30 → 00:00:33 คะอาจารย์ทำไมมันถึงชื่อยากๆใช่มคะเดา
00:00:33 → 00:00:36 ชื่อปุ๊บก็ต้องเดาว่าน่าจะมาจากญี่ปุ่น
00:00:36 → 00:00:39 ใช่แล้วค่ะเพราะว่ารายงานเคสครั้งแรกๆอ่ะ
00:00:39 → 00:00:42 ค่ะเกิดที่ญี่ปุ่นค่ะอเพราะฉะนั้นในที่
00:00:42 → 00:00:46 สุดเนี่ยพอมันเป็นโรคที่เอ่อเกิดเมื่อปี
00:00:46 → 00:00:49 1900 กว่าต้นๆทางนู้นเนี่ยมันมาจาก
00:00:49 → 00:00:52 ญี่ปุ่นะนั้นปกติการตั้งชื่อโรคก็จะให้
00:00:52 → 00:00:55 เกียรติกับคนที่ค้นพบโลกประมาณนี้นะคะ
00:00:55 → 00:00:58 เพราะฉะนั้นชื่อจึงเป็นภาษาญี่ปุ่นชื่อ
00:00:58 → 00:01:01 ยาวหมอตาก็เลยเรียกกันสั้นๆเนี่แหละค่ะ
00:01:01 → 00:01:05 vks vks แบนี้แหละค่ะอค่ะแล้วมาจาก
00:01:05 → 00:01:07 ญี่ปุ่นเนี่ยค่ะคือคนญี่ปุ่นเขาเจอเป็นคน
00:01:07 → 00:01:09 แรกหรือว่าจริงๆแล้วชื่อโลกเนี้ยค่ะมัน
00:01:09 → 00:01:12 เจอกันทั่วโลกแต่เผอิญว่าเค้าบัญญัติโดย
00:01:12 → 00:01:16 คนญี่ปุ่นค่ะอาจารย์คือเค้าก็พบว่ามันพบ
00:01:16 → 00:01:19 ที่ตัวที่ประเทศญี่ปุ่นก่อนค่ะแต่ถ้าถาม
00:01:19 → 00:01:23 ว่ามันมีแค่ประเทศญี่ปุ่นมั้ยก็ไม่ใช่ค่ะ
00:01:23 → 00:01:26 ส่วนใหญ่แล้วจะมีในคนเอเชียก็คือพบบ่อยใน
00:01:26 → 00:01:29 คนเอเชียมากกว่าคนขาวอเพราะว่าเราเชื่อ
00:01:29 → 00:01:31 ว่าอ่ะเอ่อตัวโรคตรงนี้มันเกี่ยวกับ
00:01:31 → 00:01:34 เรื่องของการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับเม็ด
00:01:34 → 00:01:38 สีอเม็ดสีก็คือนึกถึงผิวเรานึกถึงม่านตา
00:01:38 → 00:01:41 เราที่เป็นสีน้ำตาลอะไรแบบเนี้ยนะคะเพราะ
00:01:41 → 00:01:43 ฉะนั้นมันก็เลยทำให้ส่วนใหญ่เจอในคน
00:01:43 → 00:01:46 เอเชียมากกว่าคนไทยก็ถือเป็นเอเชียเนาะ
00:01:46 → 00:01:48 อินเดียอะไรแบบเนี้ยค่ะก็จะเจอได้เยอะ
00:01:48 → 00:01:52 ญี่ปุ่นเจอเยอะแบบนี้ค่ะส่วนพวกผิวขาวจะ
00:01:52 → 00:01:56 เจอน้อยกว่าครับคุณหมอครับคำว่าโวคโคยา
00:01:56 → 00:02:00 นางิฮาดะเนี่ยคือเวลาเขียนคำเต็มคือมันจะ
00:02:00 → 00:02:03 มี 3 คำเนี่ยมันแปลว่าอาการที่ว่าเนี่ย
00:02:03 → 00:02:05 คือมันจะมีอาการ 3 ลักษณะเกิดขึ้นภายใน
00:02:05 → 00:02:09 โรคเดียวหรือว่ามันเป็นชื่ออะไรยังไงพอพอ
00:02:09 → 00:02:12 พอจะไขข้อข้องใจตรงนี้ให้ผมได้มั้ยคุณหมอ
00:02:12 → 00:02:15 ฮะคือจรจริงก่อนหน้ามันจะมีคล้ายๆกับว่า
00:02:15 → 00:02:18 มีอาการบางอย่างเนี่ยคนที่พบเนี่ยค่ะเขาค
00:02:18 → 00:02:22 จะมีครั้งแรกเนี่ยพบว่ามันมีความผิดปกติ
00:02:22 → 00:02:26 ที่ระบบประสาทแล้วก็เรื่องหูผิวหนังเก็คน
00:02:26 → 00:02:31 ที่เจอเนี่ยชื่อยากิเงี้ยโอ่าโยา
00:02:31 → 00:02:34 อื่อพอมี
00:02:34 → 00:02:38 อกลเป็นดะมาเจอประมาณนี้นะคะเพราะฉะนั้น
00:02:38 → 00:02:41 ในที่สุดเนี่ยในที่สุดพอมาดูเนี่ยมันกลาย
00:02:41 → 00:02:44 เป็นซินโดรมหมายถึงเป็นกลุ่มอาการในที่
00:02:44 → 00:02:47 สุดก็พบว่ามันเป็นกลุ่มอาการกลุ่มเดียว
00:02:47 → 00:02:51 กันในที่สุดก็เลยรวมรวม 3 อันเออกมาก็คือ
00:02:51 → 00:02:56 เป็นชื่อของการพบเนาเจอโวค 1 คนะโวคเจอ
00:02:56 → 00:02:57 อาการทรง
00:02:57 → 00:03:01 นี้ิเจออาการทรงนี้คล้ายๆกันแล้วดะก็มา
00:03:02 → 00:03:05 เจออาการตรงนี้ดังนั้นรวมกันหมดเนี่ยพบ
00:03:05 → 00:03:08 ว่ากลุ่มอาการที่แต่ละคนเจอในที่สุดเมัน
00:03:08 → 00:03:11 คือกลุ่มโลกที่เป็นกลุ่มเดียวกันก็รวบกัน
00:03:11 → 00:03:15 ออกมากลายเป็นวกคนากิดะอ๋อเลยเป็นวิธี
00:03:15 → 00:03:18 สไตล์การตั้งชื่อของการให้เกียรติผู้พบ
00:03:18 → 00:03:21 โลกด้วยต้องเป็นกลุ่มโลกเดียวกันชื่อคุณ
00:03:21 → 00:03:25 หมอถึง 3 คนอยู่ในอยู่ในอยู่ในโรคเดียว
00:03:25 → 00:03:27 ชื่อโชื่อโรคเดียวโอสุดยอดให้ให้เกียรติ
00:03:27 → 00:03:29 ชื่อคุณให้เกียรติคุณหมออาจารย์หมอที่เจอ
00:03:29 → 00:03:33 เนาเออแล้วสถ้านั้นเป็นสไตล์การตั้งชื่อ
00:03:33 → 00:03:35 จะเป็นเงี้ยถ้าโรกยากๆนะคะส่วนใหญ่จะเป็น
00:03:35 → 00:03:38 การให้เกียรติผู้ที่ค้นพบครับค่ะแล้วที่
00:03:38 → 00:03:41 คุณหมอบอกว่าโรคยากๆเนี่ยมันยากขนาดไหน
00:03:41 → 00:03:44 ครับคุณหมออยากให้อธิบายนิดนึงครับว่าโวค
00:03:45 → 00:03:50 โคยานางิฮาดะโหชื่อยากมากยากจังเลยครับผม
00:03:50 → 00:03:54 ยากคือมันเป็นโรคที่มันไม่ได้มีแค่อาการ
00:03:54 → 00:03:57 ของทางตาเนาะครับอันที่ 1 เนี่ยคือเราไม่
00:03:57 → 00:04:01 ได้แบบว่าพบแบบไม่ได้พบยากมากเหมือนกับ
00:04:01 → 00:04:03 เหมือนกับหรือไม่ได้พบบ่อยมากเหมือนไข้
00:04:03 → 00:04:06 หวัดแบบนี้แต่ก็ไม่ใช่โรคที่ไม่พบคือไม่
00:04:06 → 00:04:11 ใช่โรคที่หายากมาเรื่อยๆนะคะทีนี้กลไกการ
00:04:11 → 00:04:14 เกิดโรคก็ยังไม่แน่ชัดแต่ว่าเคก็เชื่อว่า
00:04:14 → 00:04:16 เป็นเรื่องของภูมิคุ้มกันร่างกายเราอ่ะ
00:04:16 → 00:04:19 มันทำงานผิดปกติคำว่าผิดปกตินี่คือมักจะ
00:04:19 → 00:04:22 ทำงานดีไปอืนะไม่ได้แปลว่าทำงานแย่อย่าง
00:04:22 → 00:04:25 ยกตัวอย่างนึกถึง sle อย่างเงี้ยคือเป็น
00:04:25 → 00:04:28 กลุ่มโรคภูมิคุ้มกันที่เขาต่อต้านตัวเอง
00:04:28 → 00:04:31 เยอะเพราะฉะนั้นพอพอพอทำไมเขาแปลกกว่าคน
00:04:31 → 00:04:34 อื่นคือบางคนมันก็อาจจะเป็นถ้าบอกบอกว่า
00:04:34 → 00:04:37 โรคทางตาเราก็คิดว่าน่าจะมาด้วยเรื่องแบบ
00:04:37 → 00:04:40 ที่นักร้องเป็นใช่มั้ยคะว่าอ้างั้นมีแต่
00:04:40 → 00:04:43 อาการตามัวแต่จริงๆแล้วโวกเนี่ยมีอาการ
00:04:43 → 00:04:46 เอ่อที่สำคัญอยู่อย่างเช่นคนไข้เนี่ยจะมา
00:04:46 → 00:04:50 ด้วยเรื่องของระบบประสาทนำมาก่อนอืคนไข้
00:04:50 → 00:04:53 เหล่านี้ก็อาจจะมีปวดหัวมานะคะมีไข้แล้ว
00:04:53 → 00:04:57 ก็มีคอแข็งคอแข็งเี่จะเป็นลักษณะที่ถ้า
00:04:57 → 00:04:59 เป็นภาษาทางแพทย์เราเรียกว่าเราก็จะต้อง
00:04:59 → 00:05:02 สงสัยว่ามีเยื่อหุ้มสมองอักเสบหรือเปล่า
00:05:02 → 00:05:04 แล้วเราก็จะมีการได้ยินเสียงที่ผิดปกติ
00:05:04 → 00:05:07 อาจจะมีการได้ยินเสียงอื้อๆนะคะเหมือนคน
00:05:07 → 00:05:10 แบบเอ้ยหูมันอื้อนี่คือลักษณะทางระบบ
00:05:10 → 00:05:13 ประสาทที่มันนำมาก่อนระบบของทางตาอือ
00:05:13 → 00:05:16 กลุ่มแบบเนี้ยเพราะฉะนั้นเวลาเขามาครั้ง
00:05:16 → 00:05:20 แรกเนี่ยเราอาจจะไม่ได้นึกถึงความเป็น vk
00:05:20 → 00:05:23 เนื่องจากว่าเขาจะมีอาการทางระบบประสาทมา
00:05:23 → 00:05:25 ก่อนแต่พอหลังจากที่เมีอาการทางระบบ
00:05:25 → 00:05:28 ประสาทได้สักระยะอาจจะตกประมาณอาทิตย์นึง
00:05:28 → 00:05:31 เนี่ยเถึงจะเริ่มมีอาการทางตาอืการทางตา
00:05:31 → 00:05:34 ก็จะเป็นอย่างที่เห็นข่าวก็คือจะมีเรื่อง
00:05:34 → 00:05:38 ของตามัวซึ่งโดยหลักการมันจะมัว 2 ข้าง
00:05:38 → 00:05:42 ค่ะครับไม่มัวข้างเดียวนะคะอือ่าแล้วถาม
00:05:42 → 00:05:45 ว่ามันมัวจากอะไรก็ประเด็นก็กลับมาเรื่อง
00:05:45 → 00:05:48 เก่าก็คือภูมิคุ้มกันเนี่ยเคทำงานผิดปกติ
00:05:48 → 00:05:51 ดังนั้นเนื้อเยื่อในลูกตาเนี่ยตั้งแต่
00:05:51 → 00:05:53 ด้านหน้าเลยคือตั้งแต่ม่านตาไปจนกระทั่ง
00:05:53 → 00:05:56 ถึงจอประสาทตาเนี่ยมันจะเกิดการอักเสบและ
00:05:56 → 00:06:00 ทำงานผิดปกติมีน้ำเกิดขึ้นในในจอประสาทตา
00:06:00 → 00:06:03 งั้นนึกถึงภาพว่าถ้าเรามีเลนส์หรือว่าเรา
00:06:03 → 00:06:06 มีเรามีแผ่นแผ่นนึงที่เป็นจุดรับภาพแล้ว
00:06:07 → 00:06:09 มีแสงตกลงไปแต่ตอนเนี้ยมันมีน้ำเซาะอยู่
00:06:09 → 00:06:13 ข้างใต้แสงที่ตกลงไปมันก็จะถูกโฟกัสถูกมย
00:06:13 → 00:06:15 คะคือมันจะไม่ลงไปที่ณจุดเดิมแล้วเพราะ
00:06:15 → 00:06:18 ว่ามันจะไปตกบนของที่มันบวมการมองเห็นมัน
00:06:18 → 00:06:21 ก็จะลดลงก็คือคนไข้ก็จะเริ่มมองไม่เห็นอื
00:06:21 → 00:06:24 แล้วก็บวกกับการปวดเ่าสู้แสงไม่ได้เพราะ
00:06:24 → 00:06:27 มีการอักเสบของเนื้อเยื่อนี่ก็จะเป็น
00:06:27 → 00:06:30 อาการที่ที่เกิดขึ้นั้นจะเห็นว่าเมีความ
00:06:31 → 00:06:33 แปลกคือเมีทางระบบประสาทแล้วเาก็มีปัญหา
00:06:33 → 00:06:36 ทางตาแล้วพอในระยะท้ายๆเนี่ยเก็จะมีอาการ
00:06:37 → 00:06:42 ทางจิ๋วหนังอือ่าค่ะจะมีรอยด่างขาวตามตัว
00:06:42 → 00:06:45 นะคะหลังหรือว่าไหล่อะไรอย่างเงี้ยนะหรือ
00:06:45 → 00:06:48 ว่าหลังมืออะไรอย่างเงี้ยนะแถวมือแล้วก็
00:06:48 → 00:06:50 อาจจะมีเรื่องของคิ้วขาวหรือว่ามีผมร่วง
00:06:51 → 00:06:54 อหจะเห็นว่าเออในความเป็นกลุ่มโลกเนี่ย
00:06:54 → 00:06:57 เขาเแปลกกว่าคนอื่นเพราะว่าเขามีหลาย
00:06:57 → 00:06:59 อย่างประกอบกันมันจึงกลายเป็นคำว่ากลุ่ม
00:06:59 → 00:07:02 โลกเพราะมันมีทั้งระบบประสาทเนาะระบบผิว
00:07:02 → 00:07:05 หนังระบบระบบของจอประสาทตาแล้วก็เนื้อ
00:07:05 → 00:07:09 เยื่อในตานี่คือลักษณะของความเป็น vk นะ
00:07:09 → 00:07:14 คะอค่ะอาจารย์คะแต่ว่าผมร่วงคิ้วขาวอย่าง
00:07:14 → 00:07:16 เงี้ยค่ะคนสูงอายุเราจะแยกยังไงคะกับโลก
00:07:16 → 00:07:20 นี้คะเพราะว่าอ่ะประสาทมือแบบคอแข็งเราก็
00:07:20 → 00:07:23 เกิดขึ้นได้ถ้าเราทำงานเยอะค่ะอาจารย์
00:07:23 → 00:07:27 หรือว่าหรือว่าตามัวคือด้วยความที่สูง
00:07:27 → 00:07:29 อายุค่าเลนสสายตาก็เปลี่ยนเนาะดิมเนาะมัน
00:07:29 → 00:07:32 ก็คมคนก็มองไม่ชัดได้เงี้ค่ะอาจารยแล้ว
00:07:32 → 00:07:34 เราจะแยกยังไงคะว่าเป็นความเสื่อมของร่าง
00:07:34 → 00:07:36 กายปกติหรือว่าเป็นโรคจากโนี้คืออันนี้
00:07:37 → 00:07:39 มันจะไม่เป็นแบบว่าอยู่ๆมาเจออย่างละช็อต
00:07:39 → 00:07:42 เนาะอาการนำมันจะต้องมาก่อนเลยก็คือกลุ่ม
00:07:42 → 00:07:45 อาการระบบประสาทอย่างเช่นปวดหัวคอแข็งนี้
00:07:45 → 00:07:48 คอแข็งเนี่ยถ้าเกิดว่าเราสงสัยว่ามันเป็น
00:07:48 → 00:07:51 เยื่อสมองอักเสบปกติก็จะมีการเจาะหลังค่ะ
00:07:51 → 00:07:53 การเจาะหลังเนี่ยจะเป็นตัวนึงที่ช่วยใน
00:07:53 → 00:07:55 การแยกว่ามีการติดเชื้อหรือว่าไม่ใช่การ
00:07:55 → 00:07:58 ติดเชื้อเพราะฉะนั้นก็แล้วหลังจากนั้นก็
00:07:58 → 00:08:02 จะมีอาการทางมาคือมันจะไม่มาเป็นชอๆว่ามี
00:08:02 → 00:08:06 คนแก่เดินมา 1 คนคิ้วก็ขาวนะผมก็ร่วงถ้า
00:08:06 → 00:08:09 งั้นเป็นมีคหรือเปล่าจะไม่ใช่เพราะฉะนั้น
00:08:09 → 00:08:11 มันจะเป็นเ้าเรียกเป็นความต่อเนื่องของ
00:08:11 → 00:08:14 การดำเนินของโรคการซักประวัติแล้วก็อีก
00:08:14 → 00:08:17 อย่างที่สำคัญนอกจากเป็น 2 ตาแล้วก็พบ
00:08:17 → 00:08:21 บ่อยๆเจะเป็นคนอายุน้อยก็จะอยู่ประมาณซัก
00:08:21 → 00:08:26 20 20-40 60 เนี่ยพบได้แต่ว่ากลุ่ม
00:08:26 → 00:08:30 20-40 พบเยอะกว่าอนี้การในการทางเชิงการ
00:08:30 → 00:08:33 แพทย์เนาะที่เราจะต้องคิดในถึงว่าโรคบาง
00:08:33 → 00:08:36 โรคพบในช่วงอายุเท่าไหร่ด้วยแล้วก็สิ่ง
00:08:37 → 00:08:40 สำคัญก็คือการตรวจเพราะฉะนั้นก็คือบางที
00:08:40 → 00:08:44 บ่นว่ามัวเนี่ยคำว่ามัวมันมันมีหลาย
00:08:44 → 00:08:46 สาเหตุยังไงก็ควรจะต้องพบจากสู่แพทย์ค่ะ
00:08:46 → 00:08:49 เพราะว่าการตรวจดูว่าเนื้อเยื่อในลูกตา
00:08:49 → 00:08:52 ชั้นลึกมันผิดปกติหรือเปล่าเนี่ยต้องใช้
00:08:52 → 00:08:55 คำว่าเอ่อเอาไปฉายส่องไม่ได้ต้องเป็นจัตุ
00:08:55 → 00:08:58 แพทย์ที่ใช้เครื่องมือในการตรวจเท่านั้น
00:08:58 → 00:09:03 ถึงจะเห็นดังนั้นถ้ามีออย่าเตามัวคือรู้
00:09:03 → 00:09:07 สึกว่ามันมัว 2 ข้างไม่ดีขึ้นเนาปวดมาก
00:09:07 → 00:09:10 สู้แสงไม่ได้ต้องบอกว่าไม่ควรรอเราก็ควร
00:09:10 → 00:09:13 จะไปพบจักสุแพทย์นี้ก็จะเป็นสัญญาณตัวนึง
00:09:13 → 00:09:17 ที่ที่คิดว่ามันจะไม่ใช่โรคธรรมดาแลอ
00:09:17 → 00:09:19 เพราะว่าเพราะว่ามีทั้งความปวดออกไปข้าง
00:09:19 → 00:09:21 นอกก็คือกลุ่มที่เนื้อเยื่อมันอักเสบ
00:09:21 → 00:09:24 เนี่ยเจอแดดปุ๊บพวกนี้จะปวดมากแล้วก็สู้
00:09:24 → 00:09:27 แสนไม่ได้เลยนะคะ
00:09:27 → 00:09:31 อืจะเห็นว่ามันต่างเนาะจากได้อยู่ๆคนแก่
00:09:31 → 00:09:34 เดินมา 1 คนผมก็ร่วงกันหมอคิ้วก็ขาวนะ
00:09:34 → 00:09:36 อะไรอย่างเงี้ยนะอนี้มันก็จะไม่เหมือนกัน
00:09:36 → 00:09:40 ค่ะใชอืคือค่อนข้างแปลกใจคุณหมอครับว่า
00:09:40 → 00:09:43 ทำไมมันถึงเกิดขึ้นกับคนที่อายุค่อนข้าง
00:09:43 → 00:09:46 จะอยู่ในวัยทำงานด้วยซ้ำอ่ะคุณหมอบางที
00:09:46 → 00:09:49 แบบอยู่ในวัยเรียนด้วยซ้ำ 20-40 เงี้ยคุณ
00:09:49 → 00:09:53 หมอครับมันมันมันเกิดอะไรขึ้นกับกลุ่มนี้
00:09:53 → 00:09:56 คุณมอครับอันนี้มันก็ไม่มีทฤษฎีเนาะแล้ว
00:09:56 → 00:09:58 ก็คือเขาคก็บอกกันอยู่ว่าไม่ทราบสาเหตุนะ
00:09:58 → 00:10:01 คะแล้วก็ตอนที่ 2 คือเวลาเราเจอโรคเนี่ย
00:10:01 → 00:10:04 เราจะต้องมีการเค้าเรียกว่าแต่ละในแต่ละ
00:10:04 → 00:10:07 โรกเนี่ยมันก็จะเป็นการเก็บข้อมูลในความ
00:10:07 → 00:10:10 เป็นจริงว่าเราเจอในกลุ่มไหนดังนั้นก็อัน
00:10:10 → 00:10:12 นี้มันก็เหมือนกับมันเป็นแฟกว่าเราเจอว่า
00:10:13 → 00:10:15 กลุ่มโลกจะอยู่แถวนี้ทนี้ถ้าถ้าเกิดบอก
00:10:15 → 00:10:18 ว่าเราคิดกันเองว่าทำไมล่ะเราอาจจะคิดได้
00:10:18 → 00:10:21 ก็ได้ว่าด้วยอายุที่น้อยเนี่ยค่ะภูมิคุ้ม
00:10:21 → 00:10:23 กันคนเราก็จะทำงานได้ดีดังนั้นถ้าเกิดมัน
00:10:23 → 00:10:27 ทำงานผิดปกติเอ่อด้วยความที่ภูมิคุ้มกัน
00:10:27 → 00:10:29 เนี่ยดีในในกลุ่มคนอายุเนาน้อยโอกาสการ
00:10:29 → 00:10:33 อักเสบก็น่าจะน่าจะเยอะกว่าคนแก่แต่ก็
00:10:33 → 00:10:35 อย่างที่บอกโวคก็ไม่ได้โวคคนนากิจก็ไม่
00:10:35 → 00:10:39 ได้เกิดแต่ในคน 20-40 เนาะ 60 ก็ยังพบได้
00:10:39 → 00:10:41 ใช่มั้ยคะเพราะฉะนั้นมันก็ถึงบอกว่ามัน
00:10:41 → 00:10:43 เป็นเเรียกว่า incident น่ะคือเป็นอุบัติ
00:10:43 → 00:10:46 การณ์ที่เขาเก็บข้อมูลกันมาว่าเราเจอใน
00:10:46 → 00:10:49 กลุ่มช่วงไหนค่ะอาจารย์คะแล้วผู้หญิงกับ
00:10:49 → 00:10:52 ผู้ชายใครเป็นมากกว่ากันนะคะผู้หญิงเยอะ
00:10:52 → 00:10:57 กว่าอ๋อทำไมผู้หญิงเยอะกว่าค่ะไม่คือผู้
00:10:57 → 00:11:00 หญิงสู้แสงไม่ได้
00:11:00 → 00:11:03 เอไม่ใช่ตักแดดเราสู้แสงไม่ได้แล้วก็แบบ
00:11:03 → 00:11:06 เออคือทำเออทำไมอ่ะคะอาจารย์เออเออหนูก็
00:11:06 → 00:11:08 เลยอยากรู้ว่าคือพฤติกรรมการทำกิจกรรมอ่ะ
00:11:08 → 00:11:11 ค่ะถ้าเทียบแล้วอ่ะผู้ชายอาจจะเนี่ยไปทำ
00:11:11 → 00:11:14 กิจกรรมกลางแจ้งอะไรมากกว่าผู้หญิงหรือ
00:11:14 → 00:11:16 เปล่าแต่ทำไมกลายเป็นแบบสู้แสงไม่ได้ปวด
00:11:16 → 00:11:18 อะไรอย่างเงี้ยค่ะอาจารย์เอ่อไอ้การที่
00:11:18 → 00:11:21 สู้แสงไม่ได้ปวดเนี่ยเกิดจากม่านตาที่
00:11:21 → 00:11:23 อักเสบค่ะอ๋อดังนั้นไม่ไม่ได้เกี่ยวกับ
00:11:23 → 00:11:26 ว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายหรอกถ้าลงมันมี
00:11:26 → 00:11:28 การอักเสบของเนื้อเยื่อที่ตัวม่านตาที่
00:11:28 → 00:11:31 เกิดเนี่ยอย่างโบ๊กเนี่ยจะมีการอักเสบของ
00:11:31 → 00:11:33 เนื้อเยื่อชั้นลึกในตาก็คือมาตั้งแต่ม่าน
00:11:33 → 00:11:37 ตาไปตั้งถึงจอประสาทตาคนที่มีอาการของการ
00:11:37 → 00:11:40 อักเสบของตัวม่านตาเนี่ยพวกเนี้ยค่ะมันจะ
00:11:40 → 00:11:43 มีอาการปวดแล้วก็สู้แสงไม่ได้อืเพราะว่า
00:11:43 → 00:11:46 ม่านตามันจะเค้าเรียกว่ามันจะไม่หดอืคือ
00:11:46 → 00:11:49 เขาคเรียกว่าการการตอบสนองต่อแสงของกลุ่ม
00:11:49 → 00:11:52 คนไข้ที่มีการอักเสบเนี่ยปกติมันก็จะมัน
00:11:52 → 00:11:55 ก็จะไม่หดไม่ไม่ขยายตามลักษณะของแสงเพราะ
00:11:55 → 00:11:58 ฉะนั้นพวกนี้ก็พอโดนแดดก็จะม่านตามันอาจ
00:11:58 → 00:12:02 จะขยายอยู่หรือใดๆมันก็จะทำให้เสู้แสงไม่
00:12:02 → 00:12:05 ได้ก็จะปวดประมาณนั้นอืค่ะทีนี้เดี๋ยว
00:12:05 → 00:12:08 เดี๋ยวจะไปจำว่าเป็นผู้หญิงสู้แสงไม่ได้
00:12:08 → 00:12:11 นะเราอาจจะเป็นผู้หญิงกลัวแดดเลยโอแต่ว่า
00:12:12 → 00:12:14 ก็พูดถึงจริงๆผู้หญิงก็กลัวแดดมากกว่าผู้
00:12:14 → 00:12:16 ชายล่ะค่ะอาจารย์แต่ถ้าใส่เว่นกันแดดมัน
00:12:16 → 00:12:18 ช่วยไม่ได้หรอคะอาจารย์ในเมื่อแบบว่าสู้
00:12:18 → 00:12:21 เส็โอมันยังไงมันก็ปวดค่ะปวดจริงใช่เพราะ
00:12:21 → 00:12:23 นั้นยังไงต้องให้การรักษาค่ะกลุ่มนี้ต้อง
00:12:23 → 00:12:26 บอกว่าถ้าไม่รักษาเนี่ยก็ถึงขนาดบอดได้
00:12:26 → 00:12:29 ค่ะเพราะฉะนั้นโวคนี่ต้องรักษาค่ะค่ะต้อง
00:12:29 → 00:12:33 เจอเอ่อผู้เชี่ยวชาญต้องเจอจักตุแพทย์ค่ะ
00:12:33 → 00:12:35 เพราะว่าแนวทางการรักษาหลักเนี่ยคือการ
00:12:35 → 00:12:38 ให้ยากดภูมิที่เราเรียกกันชนิสโลนอือครับ
00:12:38 → 00:12:41 เคยได้ยินใช่มั้ยคะเนิสโลนเนี่ยมันก็จะ
00:12:41 → 00:12:43 เป็นยากดภูมิที่กินกันแล้วบางคนก็จะบ่น
00:12:43 → 00:12:47 ว่าหน้าบวมตัวบวมนะหมอแบบเนี้ยออ่าแต่มัน
00:12:47 → 00:12:49 จำเป็นต้องกินซึ่งอาจจะต้องกินหลายเดือน
00:12:49 → 00:12:52 ด้วยอือเอ่าแล้วในรายที่ไม่ตอบสนองบาง
00:12:52 → 00:12:56 เคลสก็อาจจะต้องมียากดภูมิตัวอื่นๆอีกค่ะ
00:12:56 → 00:13:00 ดังนั้นสิ่งสำคัญคือเอ่อความสม่ำเสมอการ
00:13:00 → 00:13:04 ไม่ขาดหายไปในการรักษานะคะถ้าเาตอบสนอง
00:13:04 → 00:13:08 ต่อยาได้ดีอดทนหน่อยมันจะค่อยๆดีขึ้นอืนะ
00:13:08 → 00:13:12 คะอืคุณหมอครับถ้าคุณหมอบอกว่าอาการนำมา
00:13:12 → 00:13:18 ส่วนใหญ่ที่มักจะเจอก็คือปวดหัวคอแข็งอัน
00:13:18 → 00:13:20 อันนี้เป็นอาการนำมาแล้วก็มันจะมีอาการ
00:13:20 → 00:13:22 ทางสายตาตามมาต่อมั้ยครับหรือว่ายังไง
00:13:22 → 00:13:25 เอ่ยใช่ค่ะใช่ค่ะพอหลังจากที่มีอาการนำ
00:13:25 → 00:13:27 ตรงนั้นเสร็จก็อาจจะตกประมาณสัปดาห์นึง
00:13:27 → 00:13:31 ค่ะก็จะตามมาด้วยด้วยการตามัวค่ะอือ๋อคือ
00:13:31 → 00:13:34 ปวดหัวก่อนคือปวดหัวคอแข็งมากเลยคือเป็น
00:13:34 → 00:13:36 ระยะเวลาประมาณสัก 1 สัปดาห์คือตอนนั้น
00:13:36 → 00:13:40 ถ้าถ้ามันยังไม่มีอาการทางตามาหลายคนก็คง
00:13:40 → 00:13:42 จะไม่ได้คิดนะว่ามันจะหลใช่แล้วท่านเข้า
00:13:42 → 00:13:45 ใจถูกแล้วดังนั้นมันก็เลยทำให้บางทีมัน
00:13:45 → 00:13:49 อาจจะมีการล่าช้าของการวินิจฉัยโอ้โหยาก
00:13:49 → 00:13:51 เลยอ่ะคุณหมอแบบเนี้ยอืนี่แหละค่ะเพราะ
00:13:51 → 00:13:56 ฉะนั้นจึงจึงมันมันก็จะต้องเราก็จะต้องมี
00:13:56 → 00:13:59 ความตระหนักแล้วก็ตัวคนไข้เองก็ต้องมี
00:13:59 → 00:14:02 ความตระหนักว่าอืตาฉันมัวและอันเนี้ยก็
00:14:02 → 00:14:06 ต้องรีบบอกเพราะบางทีก็เอออาจจะแบบอ้ออาจ
00:14:06 → 00:14:08 จะเป็นเพราะปวดหัวอาจจะไม่ได้บอกหรืออะไร
00:14:08 → 00:14:11 อย่างเงี้ยเพราะเพราะถ้าคนไข้ไม่บ่นบางที
00:14:11 → 00:14:14 เราก็เราทุกคนคงไม่ได้ไม่ได้ตรวจตาถูก
00:14:14 → 00:14:18 มั้ยคะอย่างหนไฟฉายส่องก็ไม่เห็นอีกอืใช่
00:14:18 → 00:14:21 มั้ยอืยังไงก็ต้องพบจากสูแพทย์ค่ะคือไฟ
00:14:21 → 00:14:23 ฉายส่องอ่ะค่ะอาจารย์อย่างสมมุติหยกส่อง
00:14:23 → 00:14:27 ดรมเงี้ยค่ะเราจะเห็นเลยหรอคะว่ามันมัว
00:14:27 → 00:14:30 มันขาวหรือว่าเคนเราไม่เห็นค่ะถึงบอกว่า
00:14:30 → 00:14:34 จากสูบแพทย์มีเครื่องมือตัวอื่นที่ยที่เา
00:14:34 → 00:14:36 เรียกว่าตรวจได้ละเอียดมากกว่าไปฉายค่ะ
00:14:36 → 00:14:39 เราเรียกสต Lamp ตัวสต Lamp เนี่ยจะเป็น
00:14:39 → 00:14:42 เหมือนกล้องขยายที่ทำให้หมอตาเห็น 3 มิติ
00:14:42 → 00:14:45 ค่ะดังนั้นเราจะเ้าเรียกว่าเราจะตัดด้วย
00:14:45 → 00:14:47 กล้องตัวเนี้ยเราจะเห็นหมดทุกชั้นตั้งแต่
00:14:47 → 00:14:50 ข้างหน้าคือตั้งแต่กระจกตาม่านตาเลนสไป
00:14:50 → 00:14:53 กระทั่งถึงจอประสาทตาข้างในอืนะคะเพราะ
00:14:53 → 00:14:56 ฉะนั้นมันจะดูได้ละเอียดและเห็น 3 มิติ
00:14:56 → 00:14:59 หมายถึงเห็นความกว้างยาวความลึกคือคือ
00:14:59 → 00:15:01 ความนูนความอะไรทั้งหลายแหละเราก็จะเห็น
00:15:01 → 00:15:04 ดังนั้นถึงบอกว่ามันใช้ไฟฉายไม่
00:15:05 → 00:15:08 ได้มีได้อย่างเดียวคือความตระหนักว่าอ้า
00:15:08 → 00:15:11 เอ๊สงสัยว่าจะมีปัญหาเนาะแล้วถ้างานก็ควร
00:15:11 → 00:15:15 จะให้จักสุแพทย์ตรวจค่ะค่ะอาจารย์คะแล้ว
00:15:15 → 00:15:17 อย่างคนทำงานกลางคืนนะคะเพราะว่าตามันมัว
00:15:18 → 00:15:20 อยู่แล้วมันคือแค่กลางวันก็แย่แล้วใช่มย
00:15:20 → 00:15:24 คะกลางคืนยิ่งอาการหนักกว่าป่ะคะเอ่อถ้า
00:15:24 → 00:15:27 เป็นแบบแบบกลุ่มโวคนี่ใช่มั้ยคะค่ะมันมัน
00:15:28 → 00:15:30 มัวหมดแล้วล่ะค่ะทั้งไม่ว่าจะเป็นที่
00:15:30 → 00:15:32 สว่างหรือว่าที่มืดล่ะค่ะเพราะอย่างที่
00:15:32 → 00:15:36 บอกค่ะพอมันมีน้ำเซาะอยู่ใต้จอภสาตายังไง
00:15:36 → 00:15:38 มันก็โฟกัสไม่ได้ค่ะไม่ว่าจะเป็นที่ืด
00:15:38 → 00:15:42 หรือที่สว่างก็ไม่ชัดอยู่ดีค่ะน้ำเซาะใน
00:15:42 → 00:15:44 จอประสาทตามันคือน้ำที่อยู่ข้างในมันเรา
00:15:44 → 00:15:47 ไม่เห็นจากข้างนอกแบบแบบร้องให้ใช่ค่ะก็
00:15:47 → 00:15:49 คืออย่างที่บอกเหมือนเดิมจากสู่แพร่ต้อง
00:15:49 → 00:15:51 ตรวจเพราะว่าเราจะเห็นแต่ว่าถ้าเอาไปฉาย
00:15:51 → 00:15:55 ส่องก็ไม่เห็นค่ะเพราะมันเป็นนึกถึงลเอ่อ
00:15:55 → 00:15:59 ลูกตาเราเนี่ยจะมีจอประสาทตาฉาบอยู่อื
00:15:59 → 00:16:01 แล้วจอภสาตาตัวเนี้ยปกติเก็ฉาดติดอยู่กับ
00:16:01 → 00:16:05 ผิวลูกตาแต่อันเนี้ยเไม่เไม่ติดและเมีน้ำ
00:16:05 → 00:16:08 เซาะอยู่ข้างใต้ดังนั้นเราต่อให้เราไปฉาย
00:16:08 → 00:16:12 ส่องเราก็ไม่เห็นค่ะอือือืคุณหมอครับผมขอ
00:16:12 → 00:16:15 อนุญาตย้อนกลับไปเรื่องของอาการแรกเริ่ม
00:16:15 → 00:16:21 ก็คือปวดศีรษะคอแข็งคือการปวดด้วยอาการ vk
00:16:21 → 00:16:25 เนี่ยฮะกินยาพารากินยาอะไรทั้งหลายเนี่ย
00:16:25 → 00:16:28 มันไม่สามารถที่จะบรรเทาอาการปวดได้เลย
00:16:28 → 00:16:30 ใช่มั้ยครับก็ก็มันก็จะนำมาสู่เรื่องของ
00:16:30 → 00:16:33 อาการทางตาต่ออย่างงี้รอฮะคุณหมอฮะคือถ้า
00:16:33 → 00:16:37 แบบว่าเค้าก็ไม่ได้บอกว่ามันจะถึงขนาดว่า
00:16:37 → 00:16:40 ปวดจนทนไม่ไหวนะคะเพียแต่ว่าอย่างที่บอก
00:16:40 → 00:16:42 อ่ะค่ะว่าพอเวลามันมีอาการเนี่ยเนาะ
00:16:43 → 00:16:45 ประมาณไม่เกิน 3-5 วันน่ะเราก็จะเจออาการ
00:16:45 → 00:16:49 ทางตาเพราะฉะนั้นบางทีมันแค่เนี้ยมันก็จะ
00:16:49 → 00:16:52 ทำให้เราอาจจะอ่ะเอ๊ะมีอาการถ้ามีคอแข็ง
00:16:52 → 00:16:55 เราอาจจะเจาะหลังแต่ถ้าไม่มีปกติแล้วเอ่อ
00:16:55 → 00:16:58 แพทย์ทั้งหลายแหละก็จะต้องหาสาเหตุแต่การ
00:16:58 → 00:17:01 ที่มีไข้แล้วปวดหัวก็อาจจะมีการเจาะเลือด
00:17:01 → 00:17:03 หรืออะไรก็แล้วแต่เจาะเลือดเจาะหลังแล้ว
00:17:03 → 00:17:07 ก็รอผลของการตรวจในระหว่างที่รอเนี่ยมัน
00:17:07 → 00:17:09 ก็ยังไม่ทันอะไรมันก็จะมีอาการทางตาขึ้น
00:17:09 → 00:17:14 มาอืค่ะนะคะแต่มันไม่ถึงขนาดว่าเอ่อเค้า
00:17:14 → 00:17:17 เรียกว่าอะไรอ่ะปวดจนถึงขนาดว่านอนไม่ได้
00:17:17 → 00:17:20 มันก็ไม่ได้ขนาดนั้นน่ะค่ะอืค่ะอาจารย์คะ
00:17:20 → 00:17:22 แล้วพอเวลาสมมุติถ้าเกิดเป็นเราเกิดเป็น
00:17:22 → 00:17:24 โรคนี้กันแล้วอ่ะค่ะอาจารย์อ่ะเราเข้าสู่
00:17:24 → 00:17:27 กระบวนการรักษากระบวนการรักษาต้องใช้ระยะ
00:17:27 → 00:17:30 เวลานานมั้ยคะอาจารย์หก็หลายเดือนค่ะคือ
00:17:30 → 00:17:33 อย่างน้อยเป็นหลักเดือนแน่ๆในบางรายก็อาจ
00:17:33 → 00:17:36 จะถึง 6 เดือนค่ะอืเพราะว่ายาที่กินเนี่ย
00:17:36 → 00:17:38 จะเป็นยากดภูมิถูกมั้ยคะเพราะฉะนั้นตัว
00:17:38 → 00:17:41 หลักใหญ่ก็จะเป็นเพิลนอย่างน้อยก็อาจจะ
00:17:41 → 00:17:44 ได้ถึงอาจจะถึง 6 เดือนได้บางรายถ้ามัน
00:17:45 → 00:17:47 ยังไม่พอก็อาจจะต้องยาวไปกว่า 6 เดือนอีก
00:17:47 → 00:17:50 อืค่ะเพราะฉะนั้นการปรับยาก็จะขึ้นอยู่
00:17:50 → 00:17:54 กับอาการที่ตรวจพบค่ะเป็นแต่ยากินอย่าง
00:17:54 → 00:17:57 เดียวเหรอคะอาจารย์โดยหลักตอนนี้ส่วนใหญ่
00:17:57 → 00:18:00 ก็จะใช้เป็นนิสลงคือเป็นยากินเป็นหลักค่ะ
00:18:00 → 00:18:02 อืยกเว้นถ้าในกลุ่มที่มันยากๆหรือมันไม่
00:18:02 → 00:18:05 ตอบสนองต่อยามันก็จะมียากดภูมิยากดภูมิ
00:18:05 → 00:18:08 ที่แรงกว่าเพิลนพวกเนี้ยค่ะมันก็จะมีตั้ง
00:18:08 → 00:18:11 แต่ทั้งกินหรือว่าเป็นแบบฉีดอะไรแบบนี้ก็
00:18:11 → 00:18:13 มีค่ะแต่ว่าโดยหลักการใหญ่สุดเนี่ย
00:18:13 → 00:18:17 มาตรฐานเี่ยังไงใช้เป็นนิโนก่อนอื
00:18:17 → 00:18:23 อืคือถ้าดูตามข่าวกรณีของยกกรณีตัวอย่าง
00:18:23 → 00:18:26 ของน้องกิจนะฮะน้องกิตมดาวเนี่คือเพักงาน
00:18:26 → 00:18:28 ประมาณ 1 เดือนคุณหมอเพื่อทำการรักษา
00:18:29 → 00:18:31 เนี่ยแสดงว่าถ้าตามที่คุณหมอบอกเนี่ย 1
00:18:31 → 00:18:35 เดือนเนี่ยน่าจะไม่เพียงพอต่อการรักษา
00:18:35 → 00:18:39 อาการ vk หรือเปล่าใช่มคือเอ่อต้องใช้คำ
00:18:39 → 00:18:42 นี้ว่าการมองเห็นเเนี่ยสมมุติว่าถ้า 1
00:18:42 → 00:18:45 เดือนเขาตอบสนองต่อยาดีใช่มยคะเขาก็น่าจะ
00:18:45 → 00:18:48 มีการมองเห็นที่ดีขึ้นซึ่งตอนที่เป็นข่าว
00:18:48 → 00:18:50 เหมก็ไม่รู้เหมือนกันเนาะว่าเขาเห็นได้
00:18:50 → 00:18:53 แค่ไหนแต่ถ้ามันตอบสนองต่อยาได้ดีเนี่ย
00:18:53 → 00:18:56 เราคาการว่าการมองเห็นของเขาจะดีขึ้นแต่
00:18:56 → 00:18:58 หมายความว่าเขาจะหยุดยาไปเลยได้หรือเปล่า
00:18:58 → 00:19:00 เนี่ยอืโดยหลักการของโรคอย่างที่เล่าให้
00:19:00 → 00:19:03 ฟังเนี่ยก็แสดงว่าเต้องหยุดไม่ได้เยัง
00:19:03 → 00:19:06 ต้องกินต่อแต่ว่าเขาจะกินไปนานเท่าไหร่
00:19:06 → 00:19:09 มันก็จะขึ้นอยู่กับอาการที่จักษุแพทย์
00:19:09 → 00:19:13 ตรวจเจอนะคะแล้วก็พวกนี้ยาถ้ากินยาวๆ
00:19:13 → 00:19:16 เนี่ยอย่างกินเพชรนิโรนานๆเนี่ยมันจะไม่
00:19:16 → 00:19:20 สามารถตัดยาได้ทันทีปกติมันต้องค่อยๆลด
00:19:20 → 00:19:24 ปริมาณยาลงเรื่อยๆนะคะเพราะว่าถ้าลดแล้ว
00:19:24 → 00:19:27 เกิดมันมันแย่ลงเขาก็จะต้องกลับไปให้ยา
00:19:27 → 00:19:30 เพิ่มขึ้นอีกอันนี้ก็จะเป็นลักษณะของการ
00:19:30 → 00:19:34 รักษากลุ่มคนไข้ภูมิคุ้มกันแบบนี้เพราะ
00:19:34 → 00:19:37 ฉะนั้นถามว่าอื้อถ้าอย่างงี้เอ่อกฤตจะ
00:19:37 → 00:19:40 กลับมาคือหมอมองงี้ว่าถ้าถ้าเตอบสนองต่อ
00:19:40 → 00:19:43 ยาดีเนี่ยเหมอไม่รู้เขาเห็นได้แค่ไหนแต่
00:19:43 → 00:19:45 เขาจะเห็นดีขึ้นเพียงแต่ว่าเขาจะหยุดยา
00:19:45 → 00:19:48 ได้เลยยเนี่ยโดยหลักการเนี่ยยังไม่น่าจะ
00:19:48 → 00:19:51 หยุดยาได้แต่อาจจะค่อยๆลดยาลงได้ถ้าการ
00:19:51 → 00:19:56 ตอบสนองต่อยาดีอืโอโหฟังแล้วดังนั้นต้อง
00:19:56 → 00:20:01 ให้กำลังใจค่ะออคมคุมกันจะดีจิตใจต้องดี
00:20:01 → 00:20:06 เนาะโหแต่แต่ฟังที่คุณหมออธิบายมานี่มัน
00:20:06 → 00:20:11 ก็ดูเป็นอะไรที่น่าน่ากังวลอยู่หลายๆจุด
00:20:11 → 00:20:14 เหมือนกันนะครับคุณหมอกับอาการ vkh เนี่ย
00:20:14 → 00:20:17 ครับคุณหมอฮะอืคือต้องบอกว่าถ้าเราอยู่
00:20:17 → 00:20:20 กันในเรื่องโรคของระบบประสาทอ่ะมันก็จะมา
00:20:20 → 00:20:24 คล้ายๆแบบนี้ล่ะค่ะคือก็จะต้องมีคนไข้คือ
00:20:24 → 00:20:26 มันไม่ได้มีแค่ vk ที่เราใช้เป็นนิสโลน
00:20:26 → 00:20:29 รักษามีโรคหลายโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกัน
00:20:30 → 00:20:33 ให้เราใช้พิโลในการรักษาแต่ว่าต้องอาศัย
00:20:33 → 00:20:38 ต้องใช้คำว่า 1 เอ่อคิดบวกให้กำลังใจตัว
00:20:38 → 00:20:41 เองผู้คนรอบข้างให้กำลังใจรักษาสุขภาพ
00:20:41 → 00:20:45 เมื่อภูมิคุ้มกันเราดีสภาพจิตใจเราดีภูมิ
00:20:45 → 00:20:48 คุ้มกันเราก็จะไม่ต่อต้านตัวเองนะคะแล้ว
00:20:48 → 00:20:51 มันก็จะค่อยๆดีขึ้นมันอาจจะนานหน่อยแต่ใน
00:20:51 → 00:20:54 ที่สุดเี่มันจะได้ผลลับที่ดีแต่ถ้าเรา
00:20:54 → 00:20:57 พยายามกับการที่จะเต็มไปด้วยความเครียด
00:20:57 → 00:21:00 ว่าไม่หายสักทีคุมคุ้มกันเราก็จะยิ่งต่อ
00:21:00 → 00:21:04 ต้านตัวเองสภาพจิตใจที่มันมันไม่ดีอ่ะคือ
00:21:04 → 00:21:07 มันคิดทางลบแล้วก็เครียดก็จะยิ่งทำให้การ
00:21:07 → 00:21:11 รักษาการตอบสนองไม่ดีอืเนาะเพราะฉะนั้น
00:21:11 → 00:21:14 ต้องก็ต้องใช้คำว่าต้องให้กำลังใจค่ะต้อง
00:21:14 → 00:21:18 ให้กำลังใจไว้แล้วก็คิดบวกไว้มันมันอาจจะ
00:21:18 → 00:21:20 นานหน่อยแต่ว่าเไม่ได้แปลว่าเอาจจะไม่
00:21:20 → 00:21:24 เห็นเลยเยังใช้ชีวิตได้เงี้ยเคยังอาจจะ
00:21:24 → 00:21:28 มองเห็นนะอ่านหนังสือได้ถ้าเตอบสนองต่อยา
00:21:28 → 00:21:31 ดีแค่เกลังยังลดยาไม่ได้แต่อย่างน้อยเใช้
00:21:31 → 00:21:35 ชีวิตได้แต่ถ้าเขาตัดยาออกไปเลยเนาะหมาย
00:21:35 → 00:21:38 ความว่าอยู่ๆคนไข้กลุ่มนี้ไม่เอาและดี
00:21:38 → 00:21:40 ขึ้นและหยุดเองเลยะกันมันอาจจะกลับขึ้นมา
00:21:41 → 00:21:43 ใหม่แล้วมันอาจจะไม่สามารถกลับไปดีได้แบบ
00:21:43 → 00:21:46 ครั้งแรกที่เราให้การรักษาดังนั้นถึงบอก
00:21:46 → 00:21:49 ว่า 1 การติดตามการรักษาที่ใกล้ชิดการ
00:21:49 → 00:21:53 ปฏิบัติตามเอ่อสิ่งที่แพทย์ให้ทำหรือว่า
00:21:53 → 00:21:57 ให้กินยานะคะแล้วก็การคิด Positive ให้
00:21:57 → 00:22:01 กำลังใจตัวเองจะช่วยทำให้ช่วยทำให้โรคใน
00:22:01 → 00:22:05 กลุ่มภูมิคุ้มกันเนี่ยมันมันดีขึ้นอืเนา
00:22:05 → 00:22:09 ค่ะดังนั้นอย่าคิดว่าโอ้มันมันไกลนะหมอ
00:22:09 → 00:22:13 มันกว่ามันจะหายเราคิดให้มันเป็นบวกแลให้
00:22:13 → 00:22:16 อยู่กับปัจจุบันนี่จะกลายเป็นหมอจะมาสอน
00:22:16 → 00:22:19 ธรรมะไปด้วยคุณผู้ฟังทางบ้านบอกว่าโลกนี้
00:22:19 → 00:22:22 อยู่ยากค่ะอาจารย์เอ่อคนเราต้องมีธรรมะใน
00:22:22 → 00:22:26 จิตใจจร่วมด้วยค่ะเมื่อให้จิตใจเรามีเ้า
00:22:26 → 00:22:27 เรียกว่ามีความคิดเป็นบวกเมื่อเรามีความ
00:22:28 → 00:22:31 คิดเป็นบวกบภูมิคุ้มกันมันจะทำงานได้ดีอื
00:22:31 → 00:22:36 บวกนี่ก็คือบวกบวกไม่มีบวกอครนะเออ
00:22:36 → 00:22:39 อาจารย์คะแล้วรบกวนสอบถามค่ะคุณผู้ฟังทาง
00:22:39 → 00:22:42 บ้านสอบถามมาแบบนี้นะคะว่ายากดภูมิเนี่ย
00:22:42 → 00:22:44 ค่ะทุกตัวผสมสเตียรอยด์ใช่มั้ยคะแล้วถ้า
00:22:44 → 00:22:48 กินไปนานๆมันติดมยมันจะเป็นเกิดสมผลอะไรม
00:22:48 → 00:22:51 อยากดภูมิสเตียรอยด์เป็นยากดภูมิชนิดนึง
00:22:51 → 00:22:53 ค่ะอย่างเพนินเราก็เรียกว่าเป็น
00:22:53 → 00:22:56 สเตียรอยด์ค่ะแต่ยากดภูมิบางชนิดจะไม่มี
00:22:56 → 00:22:58 สเตียรอยด์เลยค่ะมันจะกลายเป็นยาคล้ายๆ
00:22:59 → 00:23:02 กับเอ่อยายากลุ่มรักษามะเร็งอะไรแบบนั้น
00:23:02 → 00:23:06 ไปเลยเพราะฉะนั้นเอ่อถ้าใช้คำว่าเอ่อ
00:23:06 → 00:23:09 เพิลนเนี่ยเป็นกลุ่มนึงที่มีที่เป็น
00:23:09 → 00:23:11 สเตียรอยด์ทีนี้ถามว่าสเตียรอยด์ซ่อนอยู่
00:23:11 → 00:23:14 ในไหนได้บ้างบางทีก็จะอยู่ในสมุนไพรไทย
00:23:14 → 00:23:16 อะไรแบบเนี้ยบางยี่ห้ออะไรอย่างเงี้ยมี
00:23:17 → 00:23:20 ได้ประมาณนั้นค่ะแต่ถ้าใช้คำว่ายากรดภูมิ
00:23:20 → 00:23:23 คือมีเซียรอยด์ใช่มั้ยคะไม่ค่ะยากรดภูมิ
00:23:23 → 00:23:26 มีหลายตัวอืไม่ไม่จำเป็นต้องมีสเตียรอยด์
00:23:26 → 00:23:29 ผสมแต่ตัวเพิลนเนี่ยถือว่าคือสเตียรอยด์
00:23:29 → 00:23:31 ชนิดนึงค่ะอาจารย์คะเมื่อกี้ก่อนเข้าราย
00:23:32 → 00:23:34 การน่ะคะเราพวกเราพูดคุยกันกับทีมงานด้วย
00:23:34 → 00:23:36 ค่ะก็เลยแชร์กันคุยว่าเอ๊พอดีน้องเนี่ย
00:23:37 → 00:23:39 ค่ะเขาเป็นนักร้องใช่มั้ยคะแสงแฟแสงไฟ
00:23:39 → 00:23:42 เยอะแยะเราก็กันไปถึงคิดถึงคุณเพชรชราค่ะ
00:23:42 → 00:23:46 ว่าเออแสงไฟเนี่ยค่ะเยอะๆเจ้าๆมีส่วนมั้ย
00:23:46 → 00:23:48 คะที่เป็นตัวกระตุ้นโรคอะไรอย่างเงี้ยค่ะ
00:23:48 → 00:23:53 อาจารย์อืมถ้าโดยถ้าจากโรคนี้นะคะเค้าคิด
00:23:53 → 00:23:56 คิดว่าไม่เกี่ยวข้องค่ะเพราะว่าเอ่อเค้า 1
00:23:56 → 00:23:58 เไม่ทราบสาเหตุแต่เค้าก็จะพบในการติด
00:23:58 → 00:24:01 เชื้อไวรัสบางชนิดหรือพันธุกรรมบางชนิด
00:24:01 → 00:24:05 เพราะฉะนั้นไอ้แสงไฟจ้าๆเนี่ยหมอใช้คำว่า
00:24:05 → 00:24:08 มันคงไม่ได้เกี่ยวกับโรคนี้แต่ว่าการเจอ
00:24:08 → 00:24:11 ไฟจ้าๆก็อาจจะมีผลในแง่ของถ้ามันเป็นแสง
00:24:11 → 00:24:14 UV ก็อาจจะไปมีผลต่อต้อกระจกอะไรอย่าง
00:24:14 → 00:24:17 เงี้ยที่เกิดได้ง่ายหรือว่าแสบตาตาแห้ง
00:24:17 → 00:24:19 ได้ง่ายอาจจะไปทางนั้นมากกว่าแต่ว่าถ้า
00:24:19 → 00:24:22 เกี่ยวกับโรคภูมิคุ้มกันเนี่ยแสงจ้าๆก็
00:24:22 → 00:24:25 ไม่เกี่ยวค่ะอืค่ะโอแสงจ้าจ้าไม่เกี่ยว
00:24:25 → 00:24:28 คือแสดงว่าสมมุติถ้าอย่างกรณีของน้องกิต
00:24:28 → 00:24:32 เนี่ยอาถ้าไปรักษาะตอบสนองกันได้ได้กันดี
00:24:33 → 00:24:36 พอสมควรสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติละน้องก็
00:24:36 → 00:24:38 สามารถกลับไปขึ้นบน
00:24:38 → 00:24:43 เวทีตาก็อาจจะสู้แสงไฟได้บ้างอย่างงี้
00:24:44 → 00:24:46 เหรอครับคุณหมอครับได้อยู่ใช่มั้ใช่ค่ะ
00:24:46 → 00:24:48 ใช่ค่ะเพราะว่าฉนั้นก็คือเมื่อการอักเสบ
00:24:48 → 00:24:51 ของเนื้อเยื่อในลูกตามันหายหรือว่ามันดี
00:24:51 → 00:24:54 ขึ้นเนี่ยการมองเห็นก็จะดีขึ้นอาการปวดตา
00:24:54 → 00:24:57 หรือว่าสู้แสงไม่ได้ก็จะหายไปอืเพียงแต่
00:24:57 → 00:25:00 ว่าอย่างที่บอกเวลาเค้ากินสเตียรอยพวกนี้
00:25:00 → 00:25:02 ก็ต้องระวังเรื่องการติดเชื้อง่ายต้อง
00:25:03 → 00:25:06 รักษาสุขภาพอนั้นอาจจะต้องต้องห่วงเาตรง
00:25:06 → 00:25:09 นั้นมากกว่าเพราะว่าภูมิคุ้มกันเราจะลดลง
00:25:09 → 00:25:12 จากการที่เรากินยากดภูมิเขก็จะต้องระมัด
00:25:12 → 00:25:15 ระวังตัวในการจะติดเชื้อได้ง่ายอืดังนั้น
00:25:15 → 00:25:18 ในที่ที่คนพลุกพ่านเยอะๆเอาจจะต้องระวัง
00:25:18 → 00:25:22 ตัวนิดนึงหมอกลับมองไปในห่วงในเชิงของการ
00:25:22 → 00:25:25 เอ่อเค้าเรียกว่าสมมุติว่าไปเจอในที่ที่
00:25:25 → 00:25:29 คนเยอะนมากๆเนาะเอาจจะจะติดเชื้ออย่าง
00:25:29 → 00:25:31 อื่นหรือว่าเป็นหวัดง่ายกว่าชาวบ้านอะไร
00:25:31 → 00:25:34 อย่างงั้นมากกว่าคอกลายเป็นได้โรคเพิ่ม
00:25:34 → 00:25:37 เลยจากโรกจจากภูมคุใจน้องบอกว่าเดี๋ยวก็
00:25:37 → 00:25:40 ค่อยๆดีขึ้นพอเขาลดยาลงได้เขาก็จะค่อยๆ
00:25:40 → 00:25:44 พูมิคุ้มกันปกติของเขาก็จะค่อยๆมาค่ะอค่ะ
00:25:44 → 00:25:47 งั้นช่วงที่ใช้ยาเยอะๆก็ต้องระวังตัวนิด
00:25:47 → 00:25:50 นึงรักษาสุขภาพแล้วก็ต้องหลีกเลี่ยงเอ่อ
00:25:50 → 00:25:52 คนที่มีการติดเชื้อหรืออยู่ในที่ที่คน
00:25:52 → 00:25:55 พลุกพล่าหรือว่าคนแอร์อัดก็ไม่ควรอยู่ค่ะ
00:25:55 → 00:25:58 อเถึงต้องเลิกไปจัดคอนเสิร์ตไม่ได้ทำงาน
00:25:58 → 00:26:02 พักเพราคนเยอะจริงๆใช่อาจารย์คะแล้วอย่าง
00:26:02 → 00:26:04 เงี้ยค่ะถามนิดนึงค่ะสำหรับคนที่เดินเข้า
00:26:04 → 00:26:06 มาหาอาจารย์ด้วยโรคเนี้ยค่ะในบ้านเราอ่ะ
00:26:06 → 00:26:09 ค่ะเยอะมยคะแล้วเไปแผนกไหนก่อนคะเพราะว่า
00:26:09 → 00:26:12 มันด้วยความที่มันเป็นกลุ่ม 3 3 กลุ่ม
00:26:12 → 00:26:14 อาการอ่ะค่ะมันเลยทำให้แบบความรู้สึกว่า
00:26:14 → 00:26:17 เราจะตั้งต้นที่ไปเดินที่แผนกไหนดีกว่า
00:26:17 → 00:26:19 เราจะรู้ตัวเพราะสมมุติว่าเราจะรอผ่านไป
00:26:19 → 00:26:23 จากแค่ๆแบบปวดคอปวดบ่าปวดแบบประสาทของเรา
00:26:23 → 00:26:25 ค่ะตามประสาทกล้ามเนื้อเราก็รอมาถึงขั้น
00:26:25 → 00:26:28 ปวดตามันจะนานไปไหรือเราควรจะไปตั้งแต่
00:26:28 → 00:26:31 ระบบประสาทดีเรายังไงดีอะไรอย่างเงี้ยค่ะ
00:26:31 → 00:26:35 อาจารย์คือในความหลากหลายของอาการน่ะนะคะ
00:26:35 → 00:26:38 เอ่อต้องบอกว่าพอดีเป็นหมอตาเนาะถ้าเป็น
00:26:38 → 00:26:43 หมอตาส่วนใหญ่มาก็มาตรงตาเออนะคะเพราะว่า
00:26:43 → 00:26:45 เพราะว่าอาการอย่างที่เห็นน่ะปวดหัวมัน
00:26:45 → 00:26:47 อยู่ประมาณแค่ 2-3 วันน่ะแล้วก็ไม่ได้ปวด
00:26:47 → 00:26:49 แบบถึงชนิดที่ว่านอนไม่ได้เนาะอย่างที่
00:26:49 → 00:26:53 บอกเมื่อกี้นั้นบางคนมาก็คือส่วนใหญ่มาก็
00:26:53 → 00:26:57 คือที่ตามาก็คือมาแล้วก็มัวมานี้ถามว่า
00:26:57 → 00:26:59 มันไปที่ไหนเยอะกว่ากันคะหมอตาคงจะตอบ
00:26:59 → 00:27:03 ลำบากเพราะว่าพอมาถึงถึงโดยส่วนใหญ่ก็คือ
00:27:03 → 00:27:06 ก็มาตรงตาเพราะว่าเรื่องตามัวเน่าจะให้
00:27:06 → 00:27:09 ความสำคัญเยอะเนาะคนไข้อยู่ๆตามัว 2 ข้าง
00:27:09 → 00:27:13 ใช้ชีวิตลำบากก็มาที่ตานี่แหละเป็นหลักอื
00:27:13 → 00:27:17 ขับรถก็ไม่ได้ใช่แล้วเพนั้นก็มาที่นี่
00:27:17 → 00:27:21 แหละจักษุเนี่ยแหละจะจะเจอก่อนส่วนใหญ่นะ
00:27:21 → 00:27:23 คะอยกเว้นบางทีก็มีเหมือนกันค่ะมีการทำ
00:27:23 → 00:27:26 รอร์อะไรเงี้ยมีรอร์เคสอะไรอย่างเงี้ย
00:27:26 → 00:27:28 ซึ่งบางเคสก็จะมาได้ปวดหัวก่อนแต่ว่าถ้า
00:27:28 → 00:27:30 โดยธรรมชาติทั่วไปส่วนใหญ่ก็มาที่จักษุ
00:27:30 → 00:27:35 เนี่ยแะค่ะโอโหเดินเหินไปไหนก็ลำบากนะอื
00:27:35 → 00:27:38 สายแว่นก็ไม่ช่วยใช่มั้ยคะอาจารย์ไม่ช่วย
00:27:38 → 00:27:42 ค่ะเพราะมันปวดอืโอคุณหมอครับโรคนี้เนี่ย
00:27:42 → 00:27:45 ถ้ารับการรักษาได้อย่างทันท่วงทีเนี่ยมัน
00:27:45 → 00:27:48 มีโอกาสหายมั้ยฮะคุณหมอหายไวอ่ะค่ะที่ไม่
00:27:48 → 00:27:50 ต้องแบบเป็นอย่างเงี้ยค่ะอาจารย์แบบ 6
00:27:50 → 00:27:52 เดือนถึงนานสุดอะไรอย่าเงี้ยค่ะอเป็น
00:27:52 → 00:27:56 เดือนอยู่คือคือการรักษาด้วยยาค่ะมัน 6
00:27:56 → 00:27:59 เดือนนี่หมายถึงว่าเราอาจจะต้องใช้เพิลน
00:27:59 → 00:28:02 นานแต่ว่าอาการเมันจะค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆอ
00:28:02 → 00:28:06 เอ่อถามว่าการมันมีมันก็จะมีพวกกลุ่มงาน
00:28:06 → 00:28:09 วิจัยอะไรอย่างเงี้ยนะคะเขาก็พบว่าคนไข้
00:28:09 → 00:28:13 อ่ะกลับมาแทบจะเหมือนคนปกติเลยถ้าเรา
00:28:13 → 00:28:16 เรียกระดับสายตาเก็จะอยู่ประมาณคำว่า 20
00:28:16 → 00:28:19 40 หมายถึงคนปกติอ่ะอ่านได้ที่ 40 ฟุต
00:28:19 → 00:28:23 ไม่ที่ 20 เอที่ 40 ฟุตแต่คนไข้อ่านได้
00:28:23 → 00:28:26 แค่ที่ 20 ฟุตแต่ระดับคำว่า 20 40 เนี่ย
00:28:26 → 00:28:29 โดยธรรมชาติพกไปหนึงขับรถได้อืไปไหนมาไหน
00:28:29 → 00:28:32 คนเดียวได้แน่นอนอ่านหนังสือได้งั้นจะ
00:28:32 → 00:28:35 เห็นว่ามันดูแทบจะไม่ต่างจากคนทั่วไปเลย
00:28:35 → 00:28:39 นะครับอแล้วก็ถ้าตอบสนองต่อยาดีเนี่ยบาง
00:28:39 → 00:28:42 ทีประมาณอาทิตย์เอ้ยเป็นเป็นหลักเดือน
00:28:42 → 00:28:45 เนี่ยจะตกเดือนนึงเนี่ยเขาอาจจะเอาจจะ
00:28:45 → 00:28:48 เห็นได้พอๆกันกับเราหมดแลเพียงแต่ว่าการ
00:28:48 → 00:28:51 จะค่อยๆลดยาอย่างที่บอกอ่ะค่ะมันต้องใช้
00:28:51 → 00:28:54 เวลาเนาะค่ะมันอยู่ๆไปแบบไปหยุดมันไปเลย
00:28:54 → 00:28:58 เนี่ยไม่ได้เพราะว่าบางทีกินยาในระดับวัน
00:28:58 → 00:29:02 นึงจะตก 12 เม็ดอย่างเงี้ยแล้วเกิดอยู่ๆ
00:29:02 → 00:29:05 จะค่อยๆอยู่ๆหยุดปึ๊บเลยเนี่ยร่างกายมัน
00:29:05 → 00:29:08 มันมันตกใจค่ะมันมีระบบฮอร์โมนบางตัวที่
00:29:08 → 00:29:12 มีปัญหาค่ะไม่สามารถหยุดยาได้อย่างเร็วๆ
00:29:12 → 00:29:14 แบบนั้นทำไม่ได้ค่ะไม่ปลอดภัยดังนั้นส่วน
00:29:14 → 00:29:19 ใหญ่ก็ต้องค่อยๆลดยาลงอืนะคะออต้องค่อยๆ
00:29:19 → 00:29:22 ลดยาลงคือต้องใช่ค่ะเพราะฉะนั้นอย่าเพิ่ง
00:29:22 → 00:29:24 คิดว่า 6 เดือนเนี่ยกว่าเขาจะหมายถึงว่า
00:29:24 → 00:29:27 การกินยาคือคอร์สของการรักษาอาจะตกอยู่
00:29:27 → 00:29:30 ที่ 6 เดือนก็จริงแต่การมองเห็นที่เขาใช้
00:29:30 → 00:29:33 ชีวิตได้อมันน่าจะก่อน 6 เดือนอยู่แล้วนะ
00:29:33 → 00:29:36 คะเพียงแต่ว่ายังไงเก็หยุดไม่ได้นะเต้อง
00:29:36 → 00:29:40 ค่อยๆลดยานะเลดแบบทันทีไปเลยอยู่ๆกินอยู่
00:29:40 → 00:29:45 12 เม็ดหยุดปึ๊บเลยอย่างเงี้ยไม่ได้อือื
00:29:45 → 00:29:47 คือมีโอกาสที่จะหายแต่ว่าทั้งนี้ทั้งนั้น
00:29:47 → 00:29:50 ก็ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของกระบวนการ
00:29:50 → 00:29:53 รักษาของแต่ละบุคคลใชใช่แล้วค่ะแล้วก็
00:29:53 → 00:29:56 ต้องไม่ขาดยาคืออ่าต้องไม่ขาดยาสำคัญตรง
00:29:56 → 00:30:00 นี้แล้วถ้าอย่างในกรณีของคนที่เา้าอาจจะ
00:30:00 → 00:30:03 เจ็บป่วยแล้วอาจจะมารักษาแล้วแต่ว่ามัน
00:30:03 → 00:30:08 อาจจะช้าไปสักนิดนึงโอกาสที่จะมีโรคอื่นๆ
00:30:08 → 00:30:10 หรือว่าภาวะอื่นๆแทรกซ้อนเนี่ยมันมีเยอะ
00:30:10 → 00:30:14 มากน้อยแค่ไหนกับ vk เนี่ยฮะคุณหมอฮะคือ
00:30:14 → 00:30:18 ในกรณีที่เา้าเรียกว่าสมมุติว่ามันมีการ
00:30:18 → 00:30:21 รักษาช้าเนาะเนื้อเยื่อในจอประสาทตามันก็
00:30:21 → 00:30:24 จะเสื่อมไปค่ะเซลล์บางตัวที่มันที่มันเคย
00:30:24 → 00:30:27 อักเสบมาก่อนมันก็จะตายไปดังนั้นพอมันตาย
00:30:28 → 00:30:31 ไปเนี่ยการมองเห็นมันก็จะไม่ฟื้นอันนี้
00:30:31 → 00:30:33 ประเด็นที่ 1 แล้วก็แสดงว่ายังมัวต่อไป
00:30:33 → 00:30:37 อันที่ 2 ก็คือในพื้นผิวของจอประสาทปลา
00:30:37 → 00:30:39 ที่มันเสื่อมเนี่ยบางทีมันบางมากๆเนี่ย
00:30:39 → 00:30:43 มันจะมีเส้นเลือดผิดปกติงอกขึ้นมาอุยเปิด
00:30:43 → 00:30:46 ได้แบบนี้ดังนั้นก็ถึงบอกว่าถ้าเรารักษา
00:30:46 → 00:30:49 ได้ดีเซลล์เราไม่ตายเนาะเนื้อเยื่อข้างใน
00:30:49 → 00:30:52 เรายังดีมันก็จะมีการมองเห็นที่ดีอืแต่
00:30:52 → 00:30:54 ว่าถ้าเกิดว่าเราไม่ได้รักษาหรือว่าเรา
00:30:54 → 00:30:57 รักษาบ้างแล้วหยุดไปแล้วกลับมาเป็นใหม่ใน
00:30:57 → 00:31:00 ที่เซลล์ที่มันถูกอักเสบซ้ำซากซ้ำซากอ่ะ
00:31:00 → 00:31:04 มันจะตายพอตายไปทีนี้ก็นึกถึงเอ่อฟูกหนาๆ
00:31:04 → 00:31:07 แต่ไปไปมาเซลล์ตายฟู่ก็บางลงบางลงไป
00:31:08 → 00:31:10 เรื่อยๆอเพฉะนั้นการมองเห็นมันก็จะเสีย
00:31:10 → 00:31:13 เพราะว่าเซลล์ที่ใช้ในการรับภาพมันหายไป
00:31:13 → 00:31:16 อืค่ะเพราะฉะนั้นถามว่ามันถึงขนาดแทบจะ
00:31:16 → 00:31:18 มองไม่เห็นเลยได้มถ้าโดยหลักการมันก็ต้อง
00:31:19 → 00:31:22 ได้เพราะว่าถ้าเซลล์มันอืเซลล์มันไปหมด
00:31:22 → 00:31:25 แล้วมันก็มันก็ต้องมัวค่ะมันก็จะมองไม่
00:31:25 → 00:31:28 ชัดอ่ะเนี่ยค่ะหนูฟังอาจารย์หนูจินตนาการ
00:31:28 → 00:31:30 เลยค่ะนึกถึงหนังซอมบี้ว่าทุกอย่างในร่าง
00:31:30 → 00:31:33 กายเราก็ค่อยๆเน่าค่อยๆบางไปเรื่อยๆเนื้อ
00:31:33 → 00:31:37 เยื่อตู้กตามือมงั้นเราจงรักษาอย่างคัน
00:31:37 → 00:31:41 พ่วงทีและเหมาะสมออนะคะเราก็จะสามารถที่
00:31:41 → 00:31:45 จะรักษาเอ่อเนื้อเยื่อทั้งหลายของเราเอา
00:31:45 → 00:31:46 ไว้ได้แต่ถ้าเรา
00:31:46 → 00:31:50 เอ่อรักษาบ้างหยุดบ้างหรือว่าอะไรอย่าง
00:31:50 → 00:31:52 เงี้ยหรือว่ารู้ช้าอะไรอย่างเงี้ยนะคะมัน
00:31:52 → 00:31:56 ก็มันก็คือเซลล์ประสาทตามันเหมือนสมองเลย
00:31:56 → 00:31:59 ค่ะถ้ามันตายไปแล้วมันไม่กลับออเพราะมัน
00:32:00 → 00:32:03 คือมันเหมือนมันเหมือนสมองชนิดนึงที่ยื่น
00:32:03 → 00:32:06 ออกมาข้างนอกดังนั้นมันเหมือนกันเลยถ้า
00:32:06 → 00:32:10 มันตายไปมันก็มันก็มันก็งอกใหม่ไม่ได้อื
00:32:10 → 00:32:15 ค่ะโหฟังแล้วดูแหมน่ากลัวจริงๆคุณหมอคือ
00:32:15 → 00:32:18 ในหลายๆข้อมูลนะครับที่เขาเขียนมาอธิบาย
00:32:18 → 00:32:22 กันเนี่ยเขาว่า vk เนี่ยมันมีส่งผลกระทบ
00:32:22 → 00:32:25 เนี่ยอาจจะทำให้ดวงตาของเราเนี่ยมีอาการ
00:32:25 → 00:32:28 ต้อกระจกหรือว่าต้อหินแถมมาด้วยอันนี้ข้อ
00:32:28 → 00:32:31 เท็จจริงเป็นยังไงอคุณหมอครับเกิดได้ค่ะ
00:32:31 → 00:32:34 เมื่อเมื่อไหร่ก็ตามที่เอ่อเนื้อเยื่อลูก
00:32:34 → 00:32:36 ตาเรามีการอักเสบเนี่ยมตาอักเสบมันก็จะมี
00:32:36 → 00:32:40 เซลล์คือมีเซลล์อักเสบเกิดขึ้นในลูกตาตัว
00:32:40 → 00:32:43 นี้ก็จะทำให้เนื้อเยื่อการไหลเวียนของน้ำ
00:32:43 → 00:32:46 ในลูกตาเนี่ยบางทีมันทำงานไม่ดีคือมันตัน
00:32:46 → 00:32:49 ก็เกิดต้อหินตามมาแต่กรุ๊ปที่ 2 เนี่ยก็
00:32:49 → 00:32:52 คือไอ้ต้อกระจกเนี่ยก็เหมือนกันเมื่อมัน
00:32:52 → 00:32:54 มีการอักเสบอยู่เรื่อยซ้ำซากเลนส์เรามัน
00:32:54 → 00:32:57 ก็จะไม่ใสมันก็เกิดเป็นต้อกระจกกับอีกอัน
00:32:57 → 00:32:59 นึงคือคืออาจจะเกิดผลแทรกซ้อนจากการที่
00:32:59 → 00:33:03 ใช้เพนนิซิโลนอก็ได้ตัวเพนินที่ต้องใช้
00:33:03 → 00:33:06 นานๆเนี่ยก็จะเป็นตัวนึงที่เอ่อทำให้เกิด
00:33:06 → 00:33:11 ต้อกระจกได้เร็วได้ไวก่อนไวอันควรอืนะคะ
00:33:11 → 00:33:15 แล้วก็ในคนไข้บางรายที่ใช้เพนินก็จะไม่
00:33:15 → 00:33:18 ไม่ใช่ทุกคนนะคะเคสคนไข้บางรายที่ใช้
00:33:18 → 00:33:20 เพนนิซิโลนเยอะๆเนี่ยในปริมาณสูงเนี่ยอาจ
00:33:20 → 00:33:24 จะมีความดันลูกตาขึ้นอันนี้ก็เกิดได้
00:33:24 → 00:33:27 ฉะนั้นผลจากเพิลนเนี่ยเขาก็เก็มีของเขา
00:33:27 → 00:33:30 ด้วยนะคะมันนอกเหนือจากการที่มีการอักเสบ
00:33:30 → 00:33:33 ของ vkh เนี่ยที่ทำให้เกิดต้อกระจกกับกับ
00:33:33 → 00:33:36 ต้อหินเนี่ยแม้กระทั่งตัวเพิลนเองก็ทำให้
00:33:36 → 00:33:40 เกิดได้ค่ะค่ะโอหหลายหลายเรื่องหลายกรณี
00:33:40 → 00:33:44 เลยนะพี่โยนะค่ะโอเอออันนี้ถามนอกเรื่อง
00:33:44 → 00:33:47 อีกถามนอกเรื่องนะคะอาจารย์อันนี้พอพึก
00:33:47 → 00:33:50 ถึงอาจารย์บอกพูของ vkh ใช่มั้ยคะที่
00:33:50 → 00:33:52 เริ่มเป็นๆกันทีนี้หนูเห็นท้ายรายการหนู
00:33:52 → 00:33:55 ก็เลยอยากจะขอรบกวนค่ะถามอาจารย์นิดนึง
00:33:55 → 00:33:56 ถึงเรื่องของตาแดงค่ะเผื่อคุณผู้ฟังตอน
00:33:57 → 00:33:59 นี้อยู่ในพื้น
00:33:59 → 00:34:02 อก็ว่า
00:34:02 → 00:34:07 คาดควิคะอาจารเพื่อป้องกันตัวเองช่วงนี้
00:34:07 → 00:34:09 ฝนตกแล้วก็เสียงน้ำท่วมเยอะอย่างน้อยปลา
00:34:09 → 00:34:12 แดงน่าจะเจอเยอะกว่า vk นะ
00:34:12 → 00:34:17 คะปลาแดงเป็นโรคของเชื้อไวรัสแล้วก็เกิด
00:34:17 → 00:34:20 โดยโดยไม่ใช่แลบลิ้นใส่กันสรุปว่าก็จะ
00:34:20 → 00:34:23 เป็นเรื่องของการสัมผัสน้ำตาคือบางคนที่
00:34:23 → 00:34:26 เป็นเนี่ยอย่างไวรัสเนี่ยมันติดมันติด
00:34:26 → 00:34:29 ง่ายอย่างเช่นบางคนเช็เหน้าเงี้ยพอดีเ
00:34:29 → 00:34:32 เป็นแล้วก็เช็ดหน้าแล้วก็วางทิชชู่หรือ
00:34:32 → 00:34:34 ว่าอะไรอย่างเงี้ยไว้เนี่ยแล้วมีคนไป
00:34:34 → 00:34:37 สัมผัสแล้วมาขยี้ตาก็ติดแล้วหรือพวกที่
00:34:37 → 00:34:39 อยู่ในสระว่ายน้ำอย่างเงี้ยพวกนี้ก็
00:34:40 → 00:34:42 เหมือนกันติดง่ายเพราะฉะนั้นส่วนใหญ่
00:34:42 → 00:34:45 เชื้อไวรัสมันก็เลยระบาดในหน้าฝนงั้นถาม
00:34:45 → 00:34:49 ว่าเออมันเยอะยคะส่วนใหญ่ทุกหน้าฝนน่ะค่ะ
00:34:49 → 00:34:52 เดี๋ยวเราจะต้องเจอคนไข้ตาแดงอ่ะมาเรื่อย
00:34:52 → 00:34:56 ๆอืเพราะเพราะว่ามันเป็นเชื้อไวรัสอันที่
00:34:56 → 00:34:58 1 อันที่ 2 อย่างที่บอกมันติดง่ายมาก
00:34:58 → 00:35:02 เนื่องจากมันตามน้ำตาอ่ะใครป้ายไว้ตรงไหน
00:35:02 → 00:35:04 หรือว่าเกิดมีคนเป็นแล้วขึ้นรถเมล์ใช่มย
00:35:04 → 00:35:08 แล้วป้ายๆแล้วก็แปะอยู่อ่ะแล้วเราก็อ่ะ
00:35:08 → 00:35:10 จับเสร็จแล้วเราก็พอดีเราคันตาพอดีเราก็
00:35:10 → 00:35:13 ขยี้อย่าเงี้ยมันก็จะเกิดได้ง่ายค่ะพนี้
00:35:13 → 00:35:17 เป็นเชื้อไวรัสก็หายหายเองได้นะจริงๆแล้ว
00:35:17 → 00:35:20 อ่ะแต่ว่าอาการเค้าเนี่ยส่วนใหญ่คือตามจะ
00:35:20 → 00:35:22 แดงเร็วมากเลยบางคนเนี่ยอย่างหมอเนี่ยเคย
00:35:22 → 00:35:25 เป็นมาก่อนตอนสมัยเรียนหนังสือเนี่ยก็จะ
00:35:25 → 00:35:28 นึกภาพออกเลยว่าเช้ามาแล้วยังไปทำงานอยู่
00:35:28 → 00:35:31 เลยอ่ะแต่พอเย็นกลับมาตาเราแดงหมดเลยแล้ว
00:35:31 → 00:35:35 ก็ปวดบางคนอ่ะจะแดงข้างเดียวอีก 2-3 วัน
00:35:35 → 00:35:38 ไปแดงอีกข้างนึงจะค่อยๆแดงขึ้นมาอืแล้วก็
00:35:38 → 00:35:42 ขี้ตาจะเยอะมากนะคะขี้ตาจะออกมาอย่างข้าง
00:35:42 → 00:35:45 ูก็คือจนเช้ามาบางคนปิดเลยเปิดไม่ออกหนัง
00:35:45 → 00:35:49 ตาบวมอือืเพราะฉะนั้นก็ถามว่าหายเองมั้ย
00:35:49 → 00:35:51 จริงๆหายเองได้แต่เรามักจะทนไม่ไหวค่ะ
00:35:51 → 00:35:54 เนื่องจากว่ามันปวดแล้วก็ขี้ตาก็เยอะเรา
00:35:54 → 00:35:58 ก็จะไปหาจักสุแพทย์ซึ่งจักสุแพทย์ก็จะให้
00:35:58 → 00:36:01 ยา 1 ป้องกันเชื้อแบคทีเรียหรือบางทีจะ
00:36:01 → 00:36:04 เป็นยาป้ายเพื่อเพื่อให้ขี้ตามันเช็ดออก
00:36:04 → 00:36:07 ได้ง่ายขึ้นนะคะแล้วก็ถ้าปวดมากๆหรือมี
00:36:07 → 00:36:10 การอักเสบมากๆเราก็จะมีการให้ยาบรรเทา
00:36:10 → 00:36:13 อาการหรือบางราอาจจะมีการหยอดยาที่มี
00:36:13 → 00:36:16 สเตียรอยร่วมอันนี้ก็ขึ้นอยู่กับอาการที่
00:36:16 → 00:36:20 หมอตาตรวจเจออืค่ะพวกนี้คือปกติจะไม่มัว
00:36:20 → 00:36:23 นะคะต้องบอกไว้ก่อนนะต่างกันนะไวรัสเนี่ย
00:36:23 → 00:36:27 มันมันแดงปวดแต่มันไม่มัวนะตาเยอะครับ
00:36:27 → 00:36:31 ประมาณนั้นค่ะค่ะไม่เหมือน vk อใช่ค่ะ
00:36:31 → 00:36:33 อาจารย์นี่พอดีคุณผู้ฟังค่ะตกท้ายค่ะ
00:36:33 → 00:36:35 อาจารย์คำถามสุดท้ายจากคุณผู้ฟังทางบ้าน
00:36:35 → 00:36:38 ค่ะคอแข็งเป็นยังไงคะคุณผู้ฟังทางบ้านรบ
00:36:38 → 00:36:41 กวนสอบถามอ๋ออาการคอแข็งคอแข็งคือเวลาเรา
00:36:42 → 00:36:44 ตรวจกันเชิงการแพทย์เนี่ยเอ่อเราก็จะให้
00:36:44 → 00:36:48 คนเราก็จะจ่งไขยกหัวนะคะแล้วเขาก็จะก้ม
00:36:48 → 00:36:51 หัวเค้าให้มาถึงคงให้ถึงคางอ่ะมาชิดหน้า
00:36:51 → 00:36:55 อกปกติก็คือมันจะก้มไม่ได้แล้วบางทีคนไข้
00:36:55 → 00:36:59 ก็จะปวดจากการที่เราจับเยกหัวเพื่อที่จะ
00:36:59 → 00:37:02 ให้คางเมาติดหน้าอกคือมันก็จะเราลอง
00:37:02 → 00:37:05 สังเกตถ้าเราเองเราจับเราหัวเราวางเข้าหา
00:37:05 → 00:37:07 หน้าอกแล้วมันก็ไปได้แต่กลุ่มคนไข้ที่ผิด
00:37:07 → 00:37:10 ปกติอ่ะเราเรียกว่าคอแข็งเพราะว่ามันก้ม
00:37:10 → 00:37:14 ลงไม่ได้ค่ะอืเขาไม่ได้แกล้งแต่มันก้มไม่
00:37:14 → 00:37:18 ได้เป็นอ่าจะเป็นเป็นการตรวจชนิดนึงของ
00:37:18 → 00:37:21 ทางการแพทย์ค่ะเหมือนหยิ่งนะอาจารย์คอ
00:37:21 → 00:37:25 เหมือนหยิ่งเหมือนหยิอน้ำตไม่ใช่จ้ะชั้
00:37:25 → 00:37:28 ชันเจ็บคอชั้คอแข็งจใช่อ่าเค้าเลยเรียกคอ
00:37:28 → 00:37:31 แข็งแต่จริงๆแล้วคือเ้าเป็นจริงๆเมีการ
00:37:31 → 00:37:34 อักเสบของตัวตัวเไม่ใช่ตรงกระดูกคอนะคะเ
00:37:34 → 00:37:38 เป็นมีการอักเสบของเนื้อเยื่อในในเนื้อ
00:37:38 → 00:37:41 ของเราเรียกเอ่อไข่สันหลังประมาณนั้นน้ำ
00:37:41 → 00:37:46 ไข่สันหลังมันผิดปกติอค่ะได้ค่ะอาจารย์โ
00:37:46 → 00:37:49 วันวันนี้ก็ได้ทำความรู้จักกับเอ่อโรคที่
00:37:49 → 00:37:52 ชื่อว่า vk อ่าผมขออนุใช้ชื่อย่อแล้วกัน
00:37:52 → 00:37:55 นะเพราะชื่อชื่อเต็มยากเหลือเกนมากโวก
00:37:55 → 00:38:00 โคนิฮาราดะพยายามท่องอย่า V นะครับก็ได้
00:38:00 → 00:38:02 ทำความรู้จักกันไปแล้วแล้วก็ควรจะต้อง
00:38:02 → 00:38:05 สังเกตระแวดระวังตัวเองอย่างไรถ้าหากมี
00:38:05 → 00:38:07 อาการอย่างที่คุณหมอได้แนะนำกันไปวันนี้
00:38:07 → 00:38:09 ต้องขอขอบพระคุณคุณหมอมากๆนะครับที่มาให้
00:38:09 → 00:38:11 ความรู้กับเราในค่ำคืนวันนี้นะครับคุณหมอ
00:38:11 → 00:38:15 ครับค่ะกราบขอบพระคุณมากๆครับคุณหมอครับ
00:38:15 → 00:38:19 ครับสวัสดีครับขอบคุณค่ะโอคุณหมอน่ารัก
00:38:19 → 00:38:21 มากเลยอ่ะใช่ค่ะเสียงหวานนะคะคุณหมอเสียง
00:38:21 → 00:38:25 หานหวานนะทำให้เรารู้สึกว่าเออเฮ้ยเราเรา
00:38:25 → 00:38:29 เราเราเหมือนมีคุณแม่คอยอธิบายให้เอ่อ
00:38:29 → 00:38:32 เหมือนเราไปรูู้้ฟังใน่ารักมากคุณหมอน่า
00:38:32 → 00:38:35 รักมากค่ะที่จบไปนะคะคืออาจารย์พัชรพิมพ
00:38:35 → 00:38:38 นะคะมัสยาอานนท์นะนี่ปลาอานนท์นั่นเอง
00:38:38 → 00:38:40 อาจารย์บอกว่านามสกุลอาจารย์แบบนี้นะคะ
00:38:40 → 00:38:44 โอหก็ถ้าเกิดคุณผู้ฟังท่านไหนนะคะมีอาการ
00:38:44 → 00:38:46 เกี่ยวกับเรื่องของจอปราสาทตาก็สามารถ
00:38:46 → 00:38:48 เดินทางไปได้ที่สถาบันปราสาทวิทยานะเมี
00:38:48 → 00:38:51 คุณหมอตาด้วยนะไม่ใช่มีแต่เรื่องของปา
00:38:51 → 00:38:55 เท่านั้นนะคะใช่ครับผม