00:00:00 → 00:00:02 สวัสดีค่ะหมอพอนักหมอพาตัดตาต้อเนื้อต้อ
00:00:02 → 00:00:06 กระจกต้อหินและสักรรมเปิดตาหมอตาเฉพาะทาง
00:00:06 → 00:00:08 ด้านต้อหินขอต้อนรับเข้าสู่พcสใน episode
00:00:08 → 00:00:11 นี้นะคะที่จะมาย่อยงานวิจัยและข้อมูลทาง
00:00:11 → 00:00:14 การแพทย์นะคะเพื่อให้เข้าใจได้มากขึ้นแต่
00:00:14 → 00:00:16 ไม่ใช่แค่เรื่องตาเท่านั้นนะคะยังรวมถึง
00:00:16 → 00:00:19 เลือกสุขภาพทั้งกายและใจเพื่อยกระดับ
00:00:19 → 00:00:22 Performance ให้ทุกท่านได้มี Performance
00:00:22 → 00:00:26 ที่ดีขึ้นค่ะทุกคนเคยมั้ยคะว่าเห็นจุดดำ
00:00:26 → 00:00:28 ลอยไปลอยมาที่พอมองท้องฟ้าโล่งๆหรือผนัง
00:00:29 → 00:00:31 โล่งๆแล้วเนี่ยก็เห็นแบบเฮ้ยเป็นจุดอะไร
00:00:31 → 00:00:34 ลอยไปลอยมาบางทีก็รู้สึกว่าเป็นเหมือนใย
00:00:34 → 00:00:37 แมงมุมหรือว่าเหมือนจุดที่มันเป็นอยาก
00:00:37 → 00:00:40 ย่อยพอมองตามนะคะมันก็จะหนีไปหรือว่าแบบ
00:00:40 → 00:00:42 พอเราแบบเอ้ยไปจับมันอย่างเงี้ยก็ไม่ได้
00:00:42 → 00:00:45 รู้สึกว่าเห็นหรือว่ามีตัวอะไรแต่ว่าบาง
00:00:45 → 00:00:48 คนเนี่ยบอกเพื่อนข้างๆนะแล้วเพื่อนข้างๆ
00:00:48 → 00:00:51 ก็บอกว่าเออไม่เห็นมีอะไรเลยอาการนี้นะคะ
00:00:51 → 00:00:53 สร้างความรำคาญให้กับหลายคนมากและบาง
00:00:53 → 00:00:56 ครั้งบางคนก็วิตกกังวลมากๆว่าตาจะบ่อหรือ
00:00:56 → 00:00:59 เปล่ามีปัญหาในตาหรือเปล่าวันนี้นะนะคะ
00:00:59 → 00:01:02 เราจะมาคุยกันถึงสิ่งนี้นะคะที่ทางการ
00:01:03 → 00:01:06 แพทย์เรียกว่า with Fter ว่าสาเหตุคือ
00:01:06 → 00:01:09 อะไรวิธีการรักษาทำอย่างไรใน episode นี้
00:01:09 → 00:01:13 นะคะอยากจะให้ทุกคนได้ข้อมูลแบบเจาะลึก
00:01:13 → 00:01:16 เกี่ยวกับเจ้า Vage Fter ไปฟังกันเลยค่ะ
00:01:16 → 00:01:19 ทอปิในวันนี้นะคะเราจะเริ่มด้วยการปูพื้น
00:01:19 → 00:01:23 ฐานนะคะว่าช่องหลักๆของตาเนี่ยมีอะไรบ้าง
00:01:23 → 00:01:27 น้ำมุนตาคืออะไรวิทยเจลคืออะไรนะคะรอยต่อ
00:01:27 → 00:01:29 ระหว่างน้ำมุนตากับจอประสาทตาเนี่ยคือ
00:01:29 → 00:01:31 อะไรนะคะการเปลี่ยนแปลงของน้ำวุ้นตาในแต่
00:01:31 → 00:01:33 ละช่วงอายุแต่ละช่วงวัยเนี่ยเป็นอย่างไร
00:01:34 → 00:01:36 บ้างนะคะแล้วก็ข้อที่ 2 หลังจากที่ปูพื้น
00:01:36 → 00:01:39 ฐานเสร็จแล้วนะจะพูดถึงการกำเนิดของเจ้า
00:01:39 → 00:01:43 หยักย้ายหรือว่าเงาของที่ตกบนจอปสาทตาที่
00:01:43 → 00:01:45 เราเห็นเป็นจุดดำนี่แหละว่ามันคืออะไร
00:01:45 → 00:01:48 แล้วข้อที่ 3 นะคะก็คือเจาะลึกถึงสาเหตุ
00:01:48 → 00:01:52 กับอาการของเจ้าอยากได้นี้นะคะมีข้อที่ 4
00:01:52 → 00:01:55 ทอปิที่ 4 ที่พูดก็คือเรื่องของสเตอร์กับ
00:01:55 → 00:01:59 แฟชingมันต่างกันยังไงว่าทำไมแบบบางคน
00:01:59 → 00:02:01 เห็นเป็นจุดดำบางคนเห็นเป็นฟแลนะฮแล้วก็
00:02:01 → 00:02:04 แบบสิ่งที่อยากจะให้รู้อีกยันนึงก็คือ
00:02:04 → 00:02:08 ภาวะ VDM ภาวะ BDM เนี่ยมันคืออะไรนะคะ
00:02:08 → 00:02:10 เป็นทอปิที่ 5 ที่จะพูดแล้วก็ทอปิที่ 6
00:02:10 → 00:02:13 ก็คือสัญญาณอันตรายมี 3 อย่างที่ต้องรีบ
00:02:14 → 00:02:16 ไปพบแพทย์แล้วก็สุดท้ายนะคะการวินิจฉัย
00:02:16 → 00:02:19 โรคแล้วก็การรักษานะคะเป็นทอปิผิดปิดท้าย
00:02:19 → 00:02:22 ค่ะและเช่นเคยนะคะใน description ของ
00:02:22 → 00:02:25 วีดีโอนะคะก็จะมีเหมือน Time Stamp นะคะ
00:02:25 → 00:02:27 หัวข้อของทอปิที่ได้กล่าวไปแล้วนะคะ
00:02:27 → 00:02:30 สามารถที่จะกดกดเข้าไปในทอปิที่สนใจรวม
00:02:30 → 00:02:33 ทั้งแหล่งอ้างอินนะคะในงานวิจัยที่เอามา
00:02:33 → 00:02:35 พูดใน episode นี้นะคะทุกท่านสามารถที่จะ
00:02:35 → 00:02:38 คลิกลิงก์เข้าไปอ่านงานวิจัยได้ด้วยตนเอง
00:02:38 → 00:02:41 ค่ะตอนที่ทำเรื่องทอปินี้นะก็ไปรีวิว
00:02:41 → 00:02:44 เรื่องของแบบบทความทางวิชาการนะคะหลายอัน
00:02:44 → 00:02:47 เหมือนกันนะคะเอ่อมีอันนึงนะคะที่เป็นบท
00:02:47 → 00:02:50 ความที่ชื่อว่า Review of Tommology นะ
00:02:50 → 00:02:54 คะในปี 2024 เนี่ยมีหมอคนนึงที่เขาได้พูด
00:02:54 → 00:02:59 แบบเอ่อรู้สึกว่าน่าสนใจมากๆนะคะที่ดร.นะ
00:02:59 → 00:03:02 คะเจอรี่เซบนะคะเป็นจักแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
00:03:02 → 00:03:06 เอ่อจาก Henny Institute นะคะ UCLA นะคะ
00:03:06 → 00:03:10 ได้กล่าวไว้ว่าตอนในอดีตเนี่ยเวลาที่คน
00:03:10 → 00:03:14 ไข้มาบ่นว่าโสเตอร์หมอตายก็จะมองข้ามแล้ว
00:03:14 → 00:03:17 ก็จะแบบเออเหมือนคนไข้เนี่ยรู้สึกว่ามัน
00:03:17 → 00:03:22 เป็นแบบ subjective คนไข้นะคะแล้วก็ดร.เ
00:03:22 → 00:03:23 ก็บอกว่าตัวเองเนี่ยก็เป็นหนึ่งในนั้นที่
00:03:24 → 00:03:27 จะแบบรู้สึกว่าอืมก็เป็นน้ำตาเสื่อม
00:03:28 → 00:03:30 ธรรมดาอะไรอย่างเงี้ยก็จะแบบมองข้ามอาการ
00:03:30 → 00:03:34 ของคนไพ่เหล่านั้นไปนะคะแล้วการที่ดร.
00:03:34 → 00:03:37 เซแบคเนี่ยหรือว่าคุณหมอในอดีตหลายคน
00:03:37 → 00:03:39 เนี่ยที่ได้แบบเออรู้สึกว่าแบบให้คนไข้ไป
00:03:39 → 00:03:42 ปรับตัวแล้วก็แบบเกี่ยวดีขึ้นเองเนี่ย
00:03:42 → 00:03:46 เนื่องจากนะคะไม่เข้าใจอาการของคนไข้แล้ว
00:03:46 → 00:03:48 ก็ตอนนั้นในสมัยนั้นยังไม่ได้มีเครื่อง
00:03:48 → 00:03:52 มือที่จะวัดที่จะแยกว่าการที่เห็นจุดดำ
00:03:52 → 00:03:55 ลอยไปลอยมาหรือแฟชิ่งอ่ะมันรุนแรงมากแค่
00:03:55 → 00:03:58 ไหนมันกระทบต่อชีวิตมากแค่ไหนเหมือนใน
00:03:58 → 00:04:00 ปัจจุบันนี้นะคะเอ่อตอนนั้นน่ะก็จะรู้สึก
00:04:00 → 00:04:04 ว่าเฮ้ยเป็นความรำคาญของคนไข้เองอ่ะโดยก็
00:04:04 → 00:04:05 แบบเป็นอย่างนี้แหละเป็นเหมือนกันทุกคน
00:04:05 → 00:04:08 ไม่ได้แยกว่าคนเนี้ยรบกวนชีวิตของเขาจริง
00:04:08 → 00:04:10 ๆนะกับคนเนี้ยไม่ได้รบกวนชีวิตของเขาจริง
00:04:10 → 00:04:13 ๆนะพอเวลาผ่านไปเนี่ยเอ่อดร.เนะก็บอกว่า
00:04:13 → 00:04:16 เออเนี่ยพอเทคโนโลยีทางการแพทย์เนี่ยมัน
00:04:16 → 00:04:21 แบบเหมือนดีขึ้นมานะคะก็เข้าใจฟังคนไข้
00:04:21 → 00:04:24 มากขึ้นแล้วก็แบบเริ่มเชื่อว่าบางคนเนี่ย
00:04:24 → 00:04:27 สุดดำอันนั้นน่ะมันไม่ใช่แค่แบบเดี๋มันก็
00:04:27 → 00:04:30 หายเองอ่ะแต่ว่ามันก็เป็นสิ่งที่จะต้อง
00:04:30 → 00:04:33 รักษาให้คนไข้คิดว่ามันเป็นโรคโรหนึ่งที่
00:04:33 → 00:04:36 จะต้องหาวิธีการรักษาให้คนไทยการที่
00:04:36 → 00:04:39 mindsตของหมอในอดีตกับปัจจุบันเนี่ยมันก็
00:04:39 → 00:04:42 เลยต่างกันดังนั้นนะคะมันก็เป็นที่มาของ
00:04:43 → 00:04:46 ดร.Jจกเนี่ยได้นิยามศัพท์ใหม่นะคะอาจจะ
00:04:46 → 00:04:51 เรียกว่า VDM นะคะ VDM เนี่ยพอนิยามศัพท์
00:04:51 → 00:04:54 กลุ่มนี้ในผู้ป่วยที่เห็นเป็น Vester
00:04:54 → 00:04:56 เนี่ยมันรู้สึกว่ามันเป็นโรคโรคนึงมัน
00:04:56 → 00:05:00 เป็นอะไรที่จะต้องรักษาละนะเพราะว่า VDM
00:05:00 → 00:05:04 เนี่ยนิยามว่าโฟสเตอร์ที่รุนแรงจนส่งผล
00:05:04 → 00:05:07 ต่อคุณภาพชีวิตการมองเห็นอย่างมีนัยยะ
00:05:07 → 00:05:10 สำคัญพอมันเป็นแบบนี้แล้วนะคะก็จะทำให้
00:05:10 → 00:05:13 แบบคเซิร์นมากขึ้นว่าจะต้องรักษาคนไข้ดร.
00:05:13 → 00:05:16 พ่อเซบเนี่ยบอกว่าคำพูดนี้พูดยากไม่ติดหู
00:05:16 → 00:05:19 ฟังดูเหมือนชื่อโลกและนั่นคือสิ่งที่
00:05:19 → 00:05:21 ต้องการนะคะเพื่อจะเปลี่ยนมุมมองของวงการ
00:05:21 → 00:05:25 แพทย์ให้ foster เนี่ยไม่ใช่แค่แบบจุดดำ
00:05:25 → 00:05:27 ลอยไปลอยมาน้ำตาเสื่อมตามอายุแต่มันคือ
00:05:27 → 00:05:30 โรคที่จะต้องหาทางรักษาหาทางช่วยคนใกล้ใน
00:05:30 → 00:05:33 กลุ่มที่เป็น VDM หรือกลุ่มที่มีโฟสเตอร์
00:05:33 → 00:05:37 ที่รุนแรงนั่นแหละนะคะเราอยากจะช่วยกลุ่ม
00:05:37 → 00:05:40 นี้จริงๆนะคะแล้วก็ต้องหยุดเพิกเฉยแล้วก็
00:05:40 → 00:05:42 เริ่มรับฟังเสียงของคนอย่างจริงจังอันนี้
00:05:42 → 00:05:47 เป็นคำพูดที่ดร.เซบพูดไว้สรุปความคิดของ
00:05:47 → 00:05:49 ดร.เซบนะคะก็คือสูตตามลอยไปลอยมาเนี่ยอาจ
00:05:49 → 00:05:52 จะไม่ได้เป็นโรคอะไรที่ทำให้อันตรายตาบอด
00:05:52 → 00:05:54 แต่บางคนเนี่ยส่งผลรุนแรงกระทบชีวิตประจำ
00:05:54 → 00:05:57 วันนะคะอาจจะไม่ใช่แค่เรื่องที่น่ารำคาญ
00:05:57 → 00:06:00 อีกต่อไปนะคะแต่คือโลกที่ควรจะได้รับการ
00:06:00 → 00:06:02 ยอมรับแล้วก็การดูแลอย่างจริงจังจากบท
00:06:02 → 00:06:05 ความขว้างต้นนะคะแล้วก็คำพูดของดร.เเนี่ย
00:06:05 → 00:06:08 ที่หมอไปอ่านมาก็รู้สึกว่าเป็นจุดเริ่ม
00:06:08 → 00:06:10 ต้นของพcส.อย่างงี้อยากจะให้ทุกคนเนี่ย
00:06:10 → 00:06:12 ได้เข้าใจอย่างจริงจังว่ามันแบบคืออะไรนะ
00:06:12 → 00:06:14 คะแล้วก็เอ่อปัจจุบันนะคะการรักษาเนี่ยมี
00:06:14 → 00:06:17 วิธีการอะไรบ้างที่ให้เป็นอชัแล้วก็ใน
00:06:17 → 00:06:19 อนาคตเนี่ยมันจะมีแบบวิธีการรักษาอะไรที่
00:06:19 → 00:06:22 อาจสามารถที่จะรักษาโรคในกลุ่มนี้
00:06:22 → 00:06:25 เทสเตอร์กลุ่มนี้ได้ดังนั้นนะคะเรามาเข้า
00:06:25 → 00:06:28 สู่ทอปิที่ 1 กันเลยก็คือการปูพื้นฐานที่
00:06:28 → 00:06:32 เข้าใจโครงสร้างของช่องม่านตากันค่ะให้
00:06:32 → 00:06:34 ทุกคนนึกภาพตามนะคะว่าช่องในตาของเรา
00:06:34 → 00:06:37 เนี่ยมันจะมีอยู่ 3 ช่องช่องแรกก็คือช่อง
00:06:37 → 00:06:40 หน้าม่านตาเรียกว่าแชมเบอร์นะคะช่องหน้า
00:06:40 → 00:06:43 ม่านตาเนี่ยจะคือช่องว่างที่อยู่หลัง
00:06:43 → 00:06:47 กระจกตาไปจนถึงม่านตากระจกตาใสๆข้างหน้า
00:06:47 → 00:06:50 หน้าสุดไปถึงม่านตาม่านตาคือแบบคนเอเชีย
00:06:50 → 00:06:53 ก็สีน้ำตาลคนฝรั่งก็สีฟ้าอันนั้นคือม่าน
00:06:53 → 00:06:55 ตาช่องแรกช่องแรกมองเห็นส่องไฟฉายๆเรามอง
00:06:55 → 00:06:58 เห็นเลยนี่คือช่องหน้าม่านตาช่องที่ 2
00:06:58 → 00:07:00 คือช่องที่อยู่หลังลูกตาอันเนี้ยคนอาจจะ
00:07:00 → 00:07:04 นึกภาพแบบยากนิดนึงแต่มันคือช่องที่อยู่
00:07:04 → 00:07:07 ระหว่างหลังม่านตาไปจนถึงเลนสตานี้เรียก
00:07:07 → 00:07:09 ว่าช่องส่วนหลังนะค่ะแล้วก็สุดท้ายช่อง
00:07:09 → 00:07:12 ที่ใหญ่สุดคือช่องน้ำมุนตาช่องน้ำมุนตานะ
00:07:12 → 00:07:14 คะคือส่วนของลูกตาที่อยู่ด้านหลังเลนสตา
00:07:14 → 00:07:17 เป็นต้นไปนะคะแล้วก็ภายในช่องน้ำคุณตา
00:07:17 → 00:07:20 เนี่ยก็จะมีเอ่อสิ่งที่เรียกว่านะคะอยู่
00:07:20 → 00:07:24 นะคะเป็นส่วนประกอบค่ะเจลหรือน้ำมุนตานะ
00:07:24 → 00:07:26 คะเรามาดูก็คือโครงสร้างที่มีลักษณะโปร่ง
00:07:26 → 00:07:28 ใสไม่มีสีเพราะว่าถ้าขุ่นเนี่ยเราก็ต้อง
00:07:28 → 00:07:30 มองไม่เห็นเลยนะเพราะว่าแสงอ่ะมันก็ต้อง
00:07:30 → 00:07:33 ตกมาผ่านมาเรื่อยๆผ่านน้ำตาด้วยนะแล้วก็
00:07:33 → 00:07:35 เข้าไปที่จอประสาทตาควบประสาทตาไปที่สมอง
00:07:35 → 00:07:38 แปรภาพถ้าน้ำตาขุดเนี่ยเนี่ยมันก็จะเป็น
00:07:38 → 00:07:41 อะไรที่ทำให้เรามองไม่เห็นเลยทีนี้เนี่ย
00:07:41 → 00:07:43 น้ำมุนตาดังนั้นน่ะน้ำมุนตาต้องใสนะคะไม่
00:07:43 → 00:07:46 มีสีมีลักษณะคล้ายเจลอยู่เต็มโพรงของน้ำ
00:07:46 → 00:07:49 มุนตาคิดเป็น 80% ของลูกตาทั้งหมดนะคะ
00:07:49 → 00:07:52 เอ่อหน้าที่หลักของน้ำมุนตาเนี่ยก็คือให้
00:07:52 → 00:07:55 การสนับสนุนเชิงโครงสร้างเพื่อรักษาลูกตา
00:07:55 → 00:07:57 เนี่ยให้มันคงที่อยู่ได้ก็ลองคิดดูว่าถ้า
00:07:57 → 00:08:00 ไม่มีน้ำตาตาก็จะแซ่บใช่มั้คะแล้วที่
00:08:00 → 00:08:02 สำคัญที่สุดนะคะหน้าที่ก็คือเป็นตัวกลาง
00:08:02 → 00:08:06 ที่ทำให้โปร่งใสมีความสมบูรณ์มากๆต้องใส่
00:08:06 → 00:08:09 มากๆทำให้เราแบบเอ่อได้รับภาพได้รับแสงไป
00:08:09 → 00:08:12 ที่จะประสาทตาได้อย่างแบบคมชัดแม่นยำแล้ว
00:08:12 → 00:08:15 ก็ไปที่สมองแปรผลอะไรอย่างที่ว่าไปแล้วนะ
00:08:15 → 00:08:17 คะถ้ามีอะไรขวางที่น้ำมุนตาหรือว่าน้ำมุน
00:08:17 → 00:08:20 ตาเกิดไม่ใส่ขึ้นมาไม่ได้นะเออที่เห็นมย
00:08:20 → 00:08:23 จะบอกว่าน้ำตามันไม่ใช่แค่ของเหลวธรรมดา
00:08:23 → 00:08:27 มันเป็นแบบสิ่งพิเศษนะคะมันเป็นไฮโดรเจล
00:08:27 → 00:08:29 ที่มีลักษณะโครงสร้างสั้นซับซ้อนที่สุดนะ
00:08:29 → 00:08:33 คะมีความเป็นระเบียบสูงที่สุดนะคะ 98-99%
00:08:33 → 00:08:36 น่ะคือส่วนของน้ำแล้วก็ส่วนที่เหลืออีก
00:08:36 → 00:08:38 ประมาณ 2% เปอร์เซ็นคือโครงข่ายโปรตีนที่
00:08:38 → 00:08:41 ซับซ้อนนะคะส่วนใหญ่จะเป็นคอลลาเจน
00:08:41 → 00:08:43 ไฟเบอร์แล้วก็เป็นไฮาลonic acid หรือว่า
00:08:43 → 00:08:46 HA นั่นเองการเรียงตัวของคอลลาเจน
00:08:46 → 00:08:50 ไฟเบอร์กับ HA เนี่ยมีความสัมพันธ์กันที่
00:08:50 → 00:08:53 ทำให้คุณสมบัติของน้ำมุนตาเนี่ยทำหน้าที่
00:08:53 → 00:08:55 เป็นโครงข่ายกันอย่างเป็นระเบียบนะคะก็
00:08:55 → 00:08:58 พันกันแบบเรียบร้อยพันกันอย่างดีอย่างสวย
00:08:58 → 00:09:01 งามเพื่อที่จะให้โครงสร้างน้ำตาลนั้นใส่
00:09:01 → 00:09:04 แล้วก็ไม่มีสีอย่างสมบูรณ์โปรตีน 2 ตัวนะ
00:09:04 → 00:09:06 คะคอลลาเจนกับ HA จึงเป็นโครงว่าที่เรียน
00:09:06 → 00:09:08 ตัวการสัมพันธ์อย่างแบบดีอย่างเป็น
00:09:08 → 00:09:11 ระเบียบนอกจากนี้นะคะโครงสร้าง HA และ
00:09:11 → 00:09:13 คอลลาเจนเนี่ยมันก็จะดึงดูดกักเก็บ
00:09:13 → 00:09:16 โมเลกุลของน้ำไว้นะคะแล้วจะคอยผลักเส้นใย
00:09:16 → 00:09:19 แบบคอลลาเจนให้แยกออกจากการกระจายตัว
00:09:19 → 00:09:23 อย่างสม่ำเสมอซึ่งกลไกนี้เองนะคะทำให้ตัว
00:09:23 → 00:09:25 น้ำวุ้นตาเนี่ยโปร่งใสอย่างสมบูรณ์ระดับ
00:09:25 → 00:09:28 สูงสุดมันจะเก็บน้ำก็จะแทรกอยู่ระหว่าง
00:09:28 → 00:09:31 คอลลาเจนกับเ่านึกภาพดูนะเพราะฉะนั้นน้ำ
00:09:32 → 00:09:34 ตาลเป็นอะไรที่มหัศจรรย์มากอ่ะเออมันทำ
00:09:34 → 00:09:38 ให้คอลลาเจนกับ HA รวมตัวกันเป็นระเบียบ
00:09:38 → 00:09:41 สูงสุดใสสูงสุดอันนี้คือหน้าที่ของน้ำ
00:09:41 → 00:09:44 วุ้นตาน้ำวุ้นตามันจะเกาะติดกับเนื้อ
00:09:44 → 00:09:46 เยื่อจอประสาทตานะค่ะจอประสาทตาจะอยู่
00:09:46 → 00:09:50 ด้านในสุดของตัวตานะคะเป็นชั้นบางๆหลาย
00:09:50 → 00:09:53 ชั้นนะคะอยู่ตั้งแต่เกิดมาเป็นแบบเค้า
00:09:53 → 00:09:56 เรียกว่า MBO เป็นตัวอ่อนน่ะนะก็จะมีจอ
00:09:56 → 00:09:59 ประสาทตาแล้วเชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของ
00:09:59 → 00:10:02 สมองเป็นสมองที่ออกมาอยู่นอกตาค่ะเจ้า
00:10:02 → 00:10:06 ประสาทตาจึงเป็นส่วนนของระบบประสาทส่วน
00:10:06 → 00:10:09 กลางซึ่งทำหน้าที่เหมือนแบบลักษณะของ
00:10:09 → 00:10:13 ฟิล์มถ่ายรูปค่ะรับแสงขึ้นมาแปลสัญญาณแสง
00:10:13 → 00:10:16 เป็นสัญญาณเคมีแล้วก็เป็นสัญญาณไฟฟ้าส่ง
00:10:16 → 00:10:20 ไปที่ขั้วประสาทตาผ่านเส้นประสาทตาคู่ที่
00:10:20 → 00:10:22 2 ที่เรียกว่า optic nerve แล้วก็ไปยัง
00:10:22 → 00:10:26 สมองแปรภาพแล้วก็ทำให้เราเห็นดังนั้นจอ
00:10:26 → 00:10:30 ประสาทตาก็สำคัญนะคะเป็นสิ่งที่หยุดถัดมา
00:10:30 → 00:10:33 จากตัวน้ำตาน้ำตาอยู่ในโพงจอประสัตตาก็
00:10:33 → 00:10:37 เรียบเรียบไปขอบๆของโครงนั้นนะคะมันจะมี
00:10:37 → 00:10:39 ส่วนที่สำคัญที่สุดของจอมประสาตราที่
00:10:39 → 00:10:41 เรียกว่าแคู่าเป็นจุดเล็กๆอยู่ตรงกลางนะ
00:10:41 → 00:10:44 คะมีความสำคัญเป็นศูนย์กลางแล้วก็รับผิด
00:10:44 → 00:10:46 ชอบการมองเห็นที่คมชัดอย่างละเอียดสูงสุด
00:10:46 → 00:10:49 เช่นการอ่านหนังสือการขับรถการจำใบหน้า
00:10:49 → 00:10:52 การมองเห็นสีตรงกลางของจุดรับภาพชัดจะมี
00:10:52 → 00:10:55 หลุมเล็กๆเรียกว่าโฟวียจุดนี้เองนะคะเป็น
00:10:55 → 00:10:59 บริเวณอัดแน่นที่ด้วยเซลล์ตัวเซลล์รับภาพ
00:10:59 → 00:11:04 อ่ะค่ะซึ่งเป็นลักษณะที่เรียกว่าโคนโตซปต
00:11:04 → 00:11:06 นะคะทำให้จอประสาทตาเนี่ยสามารถมีความคม
00:11:06 → 00:11:09 ชัดได้อย่างเช่นที่เวลาเราอ่านตัวสนเล่น
00:11:09 → 00:11:11 ชาร์จอ่ะเราอ่านได้ 20 หมายความว่าเรา
00:11:11 → 00:11:14 อ่านได้กับเท่ากับคนทั่วไปเห็นชัดที่
00:11:14 → 00:11:18 ระดับ 20 20 สิ่งที่เอาอ่านก็คือโฟวีย
00:11:18 → 00:11:20 หรือแมคู่านั่นแหละเป็นตัวที่จุดที่อ่าน
00:11:20 → 00:11:23 ภาพตรงกลาง 90% ใช้ตรงนี้อ่ะค่ะที่เหลือ
00:11:23 → 00:11:25 ก็เป็นเหมือนการมองเห็นด้านข้างก็จะใช้
00:11:25 → 00:11:27 แบบตัวยันเพราะฉะนั้นจุดตรงกลางของจอ
00:11:27 → 00:11:31 ประสาทตาเนี่ยสำคัญสุดทีนี้รอยต่อระหว่าง
00:11:31 → 00:11:34 วุ้นตาแล้วก็จอประสาทตานะค่ะวุ้นตาไม่ได้
00:11:34 → 00:11:37 ลอยต๊อกต๋อยอยู่ในโพรงของตัวโพรงวุ้นตา
00:11:37 → 00:11:40 หรือว่าวิทityอย่างอิสระแต่ว่ามีการยึด
00:11:40 → 00:11:43 ติดกกับเจาะประสาทตาแล้วก็โครงสร้างอื่นๆ
00:11:43 → 00:11:46 อย่างมีนัยยะสำคัญความแข็งแรงของจุดยึด
00:11:46 → 00:11:49 เกาะนี้นะคะก็จะแตกต่างกันไปไม่ใช่ทุกตัว
00:11:49 → 00:11:52 ทุกจุดเนี่ยมันยึดแบบแข็งแรงหมดไม่ใช่นะ
00:11:52 → 00:11:55 คะสุดเกาะที่แข็งแรงสุดนะคะจะมีอยู่ที่
00:11:55 → 00:11:58 บริเวณฐานนนตาหรือว่าเบสนะคะเป็นแบบยึด
00:11:58 → 00:12:02 เกาะกว้างประมาณ 4-6 มม.แล้วก็บริเวณขอบ
00:12:02 → 00:12:05 นอกสุดนะคะที่เป็นเสบเนี่ยก็จะมีความแข็ง
00:12:05 → 00:12:08 แรงเป็นพิเศษนะคะจุดเกาะตรงเนี้ยจะเป็น
00:12:08 → 00:12:10 จุดเกาะที่จะอยู่แบบตลอดชีวิตตรง with
00:12:10 → 00:12:12 เบสเนี่ยแข็งแรงมากมันแน่นมากแน่นตลอด
00:12:12 → 00:12:15 ชีวิตเลยนะคะไม่ค่อยรอบหลุดนะคะต่อมานะคะ
00:12:15 → 00:12:18 จุดเกาะที่อ่อนแอกว่าจะมีจุดเกราะที่แข็ง
00:12:18 → 00:12:21 แรงกับอ่อนแอนะอ่อนแอเนี่ยก็คือจะติดกับ
00:12:21 → 00:12:24 โครงสร้างของตัวขั้วประสาทตาเป็นจุดที่
00:12:24 → 00:12:28 แบบใช้มอง 90% อันนั้นน่ะนะแล้วก็เกาะ
00:12:28 → 00:12:31 บริเวณตามหลอดเลือดของสปสาทตานะค่ะสรุป
00:12:31 → 00:12:34 จุดเกาะของน้ำวุ้นตา 1 วิทยเบสแน่นมาก
00:12:34 → 00:12:36 ตลอดชีวิตไม่หลุด 2 ก็คือจุดเกาะที่ไม่
00:12:36 → 00:12:40 แน่นก็อย่างเช่นเกาะเส้นเลือดเกาะที่ขั้ว
00:12:40 → 00:12:43 ประสาทตาเกาะที่ตัวแมคคู่าหรือว่าจุดตรง
00:12:43 → 00:12:46 กลางของเจอประสาทตาที่มีเซลล์มากที่สุด
00:12:46 → 00:12:49 อันเนี้ยเป็นจุดเกาะที่น้ำมุนตำเกาะที่
00:12:49 → 00:12:51 เกาะไม่ค่อยแน่นรองลงมาการเปลี่ยนแปลงนะ
00:12:51 → 00:12:53 คะที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ของน้ำนุนตา
00:12:53 → 00:12:56 เรียกว่า degeneration เป็นกระบวนการ
00:12:56 → 00:12:58 เปลี่ยนแปลงตามวัยที่เกิดขึ้นกับทุกคน
00:12:58 → 00:13:01 อย่างเป็นธรรมชาตินะคะกระบวนการเจะค่อยๆ
00:13:01 → 00:13:03 เป็นค่อยๆไปอย่างช้าๆไม่ได้แบบเปลี่ยน
00:13:03 → 00:13:05 แปลงเร็วปึ๊บพับวันเดียวอะไรอย่างเงี้ไม่
00:13:05 → 00:13:08 ใช่นะคะโดยจะค่อยๆอาจจะเริ่มได้ตั้งแต่
00:13:08 → 00:13:11 เด็กเลยมีหลักฐานจากการตรวจอัลต้าซาวด์นะ
00:13:11 → 00:13:15 คะพบน้ำวุ้นตาเนี่ยกลายไปเป็นของเหลวได้
00:13:15 → 00:13:17 ตั้งแต่เด็ก 4 ขวบเลยค่ะจนถึงอายุ 80 ปี
00:13:17 → 00:13:21 เลยนะคะวุ้นตามากกว่าครึ่งนึงเนี่ยจะกลาย
00:13:21 → 00:13:24 ไปเป็นของเหลวหมดแล้วเมื่ออายุ 80 ปีนะคะ
00:13:24 → 00:13:26 ความเสื่อมของน้ำวุนตาจะประกอบด้วย 2
00:13:26 → 00:13:29 กระบวนการที่สำคัญกระบวนการแรกเนี่ยก็คือ
00:13:29 → 00:13:31 กระบวนการเหล็กเหลวตัวหรือที่เรียกว่า
00:13:31 → 00:13:36 lิquid faction หรือsynคisนะคะการเหลวตัว
00:13:36 → 00:13:38 ของน้ำมุนตาค่ะโครงสร้างของน้ำมุนตาเนี่ย
00:13:38 → 00:13:40 จะสลายกลายเป็นของเหลวลักษณะคลายน้ำมาก
00:13:40 → 00:13:43 ขึ้นจากที่เป็นเจลก็จะเป็นน้ำมากขึ้น
00:13:43 → 00:13:46 กระบวนการนี้นะคะเกิดจากการที่โมเลกุลของ
00:13:46 → 00:13:49 กดไฮูรสิกหรือว่าตัว HA ที่พูดไปเนี่ยมัน
00:13:49 → 00:13:52 หลุดออกจากโครงข่ายคอลลาเจนปกติ 2 ตัวเ
00:13:52 → 00:13:54 มันต้องประสานกันนะคะแต่ว่าพอตัวกด
00:13:55 → 00:13:57 ไฮาลูโรนิคaซิดเนี่ยมันแบบออกจากโครงขาย
00:13:57 → 00:14:00 คอลลาเจนเนี่ยทำให้โมเลกุลของน้ำเนี่ยที่
00:14:00 → 00:14:03 เคยถูกกักไว้นะคะมันก็จะแบบเหมือนถูกปลด
00:14:03 → 00:14:06 ปล่อยออกมาค่ะมันก็จะเป็นน้ำมากขึ้นอย่าง
00:14:06 → 00:14:08 ที่บอกในช่วงแรกอ่ะก็คือโครงสร้าง
00:14:08 → 00:14:11 คอลลาเจนกับ HA มันจะกักน้ำแล้วก็เรียง
00:14:11 → 00:14:13 ตัวกันอย่างเป็นระเบียบระดับสูงสุดให้น้ำ
00:14:13 → 00:14:16 ตาลมันคงใสอยู่ได้แต่พออายุมากขึ้นเนี่ย
00:14:16 → 00:14:19 เกิดลิquidFacชหรือการเหลวโมเลกุล HA กับ
00:14:19 → 00:14:21 โมเลกุลของคอลลาเจนแยกออกจากการแล้วปล่อย
00:14:21 → 00:14:24 น้ำออกมาน้ำที่ถูกกักไว้ก็จะไม่ถูกกักอีก
00:14:24 → 00:14:26 ต่อไปมันก็เลยเหลวขึ้นมานะคะไปกลายเป็น
00:14:26 → 00:14:29 น้ำค่ะนอกจากนี้มันไม่ใช่แบบเหลวอย่าง
00:14:29 → 00:14:31 เดียวมันยังเกิดการแบบคอแลapหรือว่า
00:14:31 → 00:14:34 คัมปิ้งการยุบหรือก็เป็นการจับกลุ่มกัน
00:14:34 → 00:14:37 ค่ะเมื่อเจลเป็นของเหลวนะคะโครงขายเส้นใย
00:14:37 → 00:14:39 ของคอลลาเจนก็จะสูญเสียการพยุงตัวแล้วก็
00:14:39 → 00:14:42 แบบมีการกระจายตัวแบบที่สม่ำเสมอนะคะทำ
00:14:42 → 00:14:46 ให้เหมือนเส้นใยอ่ะมันยุบตัวแล้วก็รวมกัน
00:14:46 → 00:14:48 เป็นก้อนเป็นตะกอนน่ะก็คือเป็นกำเนิดของ
00:14:48 → 00:14:51 ตัวอยากย่อยนั่นเองนะคะสรุปก็คืออยากย้าย
00:14:51 → 00:14:54 ที่เราเห็นน่ะก็คือเกิดจากการคอAPSหรือก็
00:14:54 → 00:14:57 cumินะคะของตัวน้ำมุกตาพอเหลวแล้วก็ยุบ
00:14:57 → 00:15:00 ตัวแล้วก็เป็นคล้ำเป็นตัวคอลลาเจนนี่แหละ
00:15:00 → 00:15:03 ที่มันมาคล้ำกันเป็นตะกอนเราจะเรียกว่า
00:15:03 → 00:15:05 ตะกอนะสิ่งที่เราเห็นก็คือเป็นเนี่ยแหละ
00:15:05 → 00:15:08 เกิดจาก 2 กระบวนการนี้ทั้งเหลวแล้วก็
00:15:08 → 00:15:11 ทั้งแบบcumิกับคอapsยุบตัวลงนะคะ
00:15:11 → 00:15:13 ปรากฏการณ์ทั้ง 2 อันนี้ไม่ได้เป็นอิสระ
00:15:13 → 00:15:16 ต่อกันแต่ว่าเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นต่อ
00:15:16 → 00:15:18 เนื่องเป็นลูกโซ่นะคะเริ่มจากการเปลี่ยน
00:15:18 → 00:15:22 แปลงระดับเอ่อโมเลกุลนะคะของกฎไฮยาูรนิค
00:15:22 → 00:15:24 แอซิดและคอลลาเจนนะค่ะพอมันไม่สามารถมี
00:15:24 → 00:15:28 พันธะแบบมีแบบยึดโยงกันได้แบบอย่างแบบ
00:15:28 → 00:15:31 แข็งแข็งแรงมันก็อ่อนแอลงแล้วก็เป็นการนำ
00:15:31 → 00:15:34 ไปสู่การปล่อยน้ำออกมานะคะหรือว่าที่
00:15:34 → 00:15:37 เรียกว่าซินคisออกมานะคะจากนั้นเนี่ยเอ่อ
00:15:37 → 00:15:39 ตัวคอลลาเจนเนี่ยก็จะขาดการแบบเหมือนค้ำ
00:15:40 → 00:15:43 จุนของน้ำแล้วนะคะก็ไม่สามารถที่จะจับกัน
00:15:43 → 00:15:47 แบบได้นะคะท้ายสุดนะคะเอ่อตัวสัดส่วน
00:15:47 → 00:15:50 เนี่ยของเจลอ่ะมันก็จะลดลงไปนะคะทำให้
00:15:50 → 00:15:52 อุ้นตาทางก้อนเนี่ยหดตัวพร้อมที่จะยแยก
00:15:52 → 00:15:55 ออกจากจอประสาทตาก็จะทำให้เกิดอาการต่างๆ
00:15:55 → 00:15:57 นะคะเดี๋ยวจะพูดต่อไปนะคะอย่างที่บอกนะคะ
00:15:57 → 00:16:00 แต่ก่อนเนี่ยเส้นใยมันก็จะเป็นผสานกัน
00:16:00 → 00:16:02 เป็นโครงข่ายน้ำวุ้นตาใช่มยแล้วก็ยึดติด
00:16:02 → 00:16:05 กับผิวของจอตาค่ะแต่เมื่อเวลาผ่านไปน้ำ
00:16:05 → 00:16:07 มุนตามันหดตัวลงมันเกิดการแบบเหมือน
00:16:07 → 00:16:11 คอแลapกับกะแบบเกิดการที่แบบยุบคล้ำคล้ำ
00:16:11 → 00:16:14 กันนะค่ะทำให้เกิดการดึงลั้งที่จะประสาท
00:16:14 → 00:16:17 ตาค่ะบ่อยครั้งนะคะที่เส้นชัยนี้ขาดออก
00:16:17 → 00:16:20 จากกันแล้วก็ทำให้น้ำมุนตาเนี่ยแยกออกมา
00:16:20 → 00:16:23 ได้นะคะแล้วก็หดตัวได้อย่างต่อเนื่องต่อ
00:16:23 → 00:16:26 มานะคะกำเนิดของหยักย้ายแล้วก็เงาบนจอ
00:16:26 → 00:16:28 ประสาทตาเนี่ยมันเกิดได้ยังไงนะคะดังที่
00:16:28 → 00:16:31 กล่าวไปแล้วว่าก้อนคอลลาเจนที่จะรวมตัว
00:16:31 → 00:16:35 กันมันน่ะไม่ใช่สิ่งที่คนไข้เห็นโดยตรง
00:16:35 → 00:16:38 แต่สิ่งที่คนไข้เห็นเนี่ยตะกอนที่ล่องลอย
00:16:38 → 00:16:42 ไปมานะคะเมื่อแสงผ่านเข้ามาใช่มั้ยมาที่
00:16:42 → 00:16:45 ลูกตานะคะตะกรอเหล่านั้นน่ะบางทีมันบดบัง
00:16:45 → 00:16:48 มันบดบังแสงที่ส่งมาแล้วมันก็จะทอดเป็น
00:16:48 → 00:16:52 เงาไปตกที่จอประสาทตานะคะสมองก็จะแปลผล
00:16:52 → 00:16:54 ว่าเงาที่เคลื่อนไหวเหล่าเนี้ยเป็นจุดดำ
00:16:54 → 00:16:56 หรือว่าเป็นเส้นใยแมงมุมทำให้เราแบบเฮ้ย
00:16:56 → 00:16:58 ตกใจแล้วก็เห็นว่ามันเป็นเส้นใยแมงมุมได้
00:16:58 → 00:17:01 นะคะลักษณะที่เห็นอยากได้อาจจะมีหลายแบบ
00:17:01 → 00:17:04 มีทั้งเป็นจุดเป็นวงกลมเป็นเส้นเป็นก้อน
00:17:04 → 00:17:07 แมฆเป็นใยแมงมุมนะคะลักษณะการเคลื่อนไหว
00:17:07 → 00:17:10 ที่เป็นเอกลักษณ์ของมันเลยนะก็คือมันจะ
00:17:10 → 00:17:13 เคลื่อนไปตามการกรอกตาอย่างช้าช้ากว่าการ
00:17:13 → 00:17:17 กรอกตาเล็กน้อยไม่ได้เร็วนะคะแล้วก็ค่อยๆ
00:17:17 → 00:17:20 ลอยไปเองนะคะซึ่งสิ่งที่ลอยไปลอยมานั้น
00:17:20 → 00:17:23 น่ะเรียกก็เรียกว่าโฟสเตอร์มันเป็นลักษณะ
00:17:23 → 00:17:27 เอกลักษณ์ที่เป็นของโฟสเตอร์ของน้ำมุนตา
00:17:27 → 00:17:30 เสื่อมหรือน้ำมุนตาที่มันคล้ำกันแล้วที่
00:17:30 → 00:17:33 เราเห็นอยากได้หรือเงาเนี่ยมันจะต้องลอย
00:17:33 → 00:17:36 ตามการกรอกตาอย่างช้าๆโดยที่ไม่เร็วกว่า
00:17:36 → 00:17:39 แล้วก็ลอย high ไปเองแบบนี้อันเนี้ยเข้า
00:17:39 → 00:17:42 ได้กับ poster ค่ะนอกจากนี้นะคะมันก็อาจ
00:17:42 → 00:17:45 จะเห็นเป็นสิ่งที่เรียกว่าไลมันเป็นอยาก
00:17:45 → 00:17:47 ญ่ยแบบพิเศษค่ะเห็นเป็นวงกลมหรือรูปตัว C
00:17:48 → 00:17:51 วงลีอันเนี้คนไข้อ่ะก็จะมีเห็นมันเกิดจาก
00:17:51 → 00:17:54 การที่จำได้มั้ยคะว่าจุดเกาะที่แน่นที่
00:17:54 → 00:17:57 สุดคือ with B ลองลงมาที่ไม่ค่อยแน่นน่ะ
00:17:57 → 00:18:01 คือขั้วประสาทตาพอน้ำมุนตาเกิด 2 กระบวน
00:18:01 → 00:18:04 การใช่มยคือเกิดการเหลวหรือการลิquid
00:18:04 → 00:18:07 แฟกชักับการclัิ้หรือการคอแลกขึ้นมาแล้ว
00:18:07 → 00:18:11 เนี่ย 2 ขบวนการมันก็จะถูกดึงจากจุดที่
00:18:11 → 00:18:13 มันเคยเกาะแน่นที่ขั้วประสาทตาดึงหลุดออก
00:18:13 → 00:18:16 มาทีนี้เนี่ยมันเกาะที่ขั้วประสาทตามันจะ
00:18:16 → 00:18:19 เป็นวงพอดึงออกมามันก็จะหลุดออกมาเป็นวง
00:18:19 → 00:18:22 รูปตัว C นะคะเวลาที่หมอ 2 กล้องน่ะไปที่
00:18:22 → 00:18:26 ขั้วประสาทตาที่จอตาเนี่ยจะเห็นเลยก็เป็น
00:18:26 → 00:18:29 วงๆเส้นๆอันน่ะนจะเรียกว่าไลิงจะเห็นเป็น
00:18:29 → 00:18:32 เลงเป็นแบบลักษณะพิเศษนะน้ำนนตาลอกหลุดมา
00:18:32 → 00:18:36 จากตรงจุดเกาะที่อยู่ตรงขวบประสาทตาทีนี้
00:18:36 → 00:18:38 นะคะมาดูว่าทำไมสาเหตุแล้วก็อาการเนี่ย
00:18:38 → 00:18:41 ของน้ำมุนตาเสื่อมนี่มีปัจจัยอะไรบ้างที่
00:18:41 → 00:18:45 ทำให้เป็นนะคะปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้เกิด
00:18:45 → 00:18:49 ภาวะแซ่ซ้อนที่รุนแรงหรือว่าเกิดทำให้แบบ
00:18:49 → 00:18:51 น้ำตาเสื่อมได้เร็วนะคะสิ่งที่สำคัญอย่าง
00:18:51 → 00:18:53 แรกเนี่ยก็คืออายุมากกว่า 50 ปีค่ะพอหลัก
00:18:53 → 00:18:55 50 ปีก็เป็นทุกคน 80% เลยนะคะอันที่ 2
00:18:56 → 00:18:58 ก็คือสายตาสั้นนะคะสายตาสั้นเนี่ยก็เป็น
00:18:58 → 00:19:00 ปัจจัยที่ส่งเสริมสำคัญอย่างมากเลยที่ทำ
00:19:00 → 00:19:02 ให้เอ่อคนไข้เป็นน้ำนุ้ตาเสริมหรือว่า
00:19:03 → 00:19:05 เห็นจุดดำรอยไปลอยมาเนี่ยได้อย่างเอ่อรวด
00:19:05 → 00:19:08 เร็วนะคะโดยเฉพาะคนที่มีซ่านมากกว่า 400
00:19:08 → 00:19:11 ไดอปเตอร์ขึ้นไปนะคะปกติแล้วนะคะเกิดจาก
00:19:11 → 00:19:14 กลไก 2 อย่างด้วยกันนะคะอย่างแรกเนี่ยก็
00:19:14 → 00:19:17 คือลูกตาของผู้ที่มีสายตาสั้นเนี่ยจะยาว
00:19:17 → 00:19:19 นะคะไปจากแบบด้านหน้าด้านหลังอ่ะยาวแบบ
00:19:19 → 00:19:22 แนวหน้าหลังอ่ะทำให้เนื้อเย่อจอประสาทตา
00:19:22 → 00:19:24 เนี่ยถูกขึงนะคะให้ครอบคลุมพื้นที่ที่
00:19:24 → 00:19:27 ใหญ่ขึ้นส่งผลให้จอประสาทตาบางปอกบางแล้ว
00:19:27 → 00:19:29 ก็เสี่ยงดอกการฉีดขาได้ง่ายขึ้นค่ะประการ
00:19:29 → 00:19:32 ที่ 2 เนี่ยก็คือว่าคนที่มีสายตาสั้นจะ
00:19:32 → 00:19:35 เกิดภาวะน้ำตาเสื่อมได้เร็วกว่าคนที่ไม่
00:19:35 → 00:19:38 ได้สายตาสั้นเพราะฉะนั้นเนี่ยคนที่สายตา
00:19:38 → 00:19:41 สั้นเนี่ยก็เลยผสมผสานของ 2 อย่างก็คือ
00:19:41 → 00:19:43 การที่ลูกตายาวแล้วก็แบบพื้นที่ในการตัว
00:19:43 → 00:19:46 เกาะของน้ำตาลมันกว้างเจาะสัตตาบางด้วยนะ
00:19:46 → 00:19:49 คะมันก็เลยแบบเหมือนเอ่อลอกตัวได้เร็ว
00:19:49 → 00:19:51 ร่วมกับสายตาสั้นและอายุน้อยเนี่ยพบว่าคน
00:19:51 → 00:19:53 ที่สายตาสั้นเนี่ยจะเกิดอยู่น้อยกว่า 2
00:19:53 → 00:19:56 อันเนี้ยร่วมกันทำให้คนที่เป็นสายตาสั้น
00:19:56 → 00:19:58 จะพบน้ำมุนตาเสื่อมได้น้อยกว่าง่ายๆ
00:19:58 → 00:20:02 ประมาณนั้นนะคะการผ่าตัดในดวงตานะคะก็จะ
00:20:02 → 00:20:05 ทำให้เกิดแบบเหมือนรบกวนโค้งซ้างของน้ำตา
00:20:05 → 00:20:08 ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดต้อกระจกหรือการได้
00:20:08 → 00:20:10 รับอุบัติเหตุในลูกตาที่รุนแรงอะไรอย่าง
00:20:10 → 00:20:12 เงี้ยถ้าอะไรก็ตามที่ไปรบกวนโครงสร้างมัน
00:20:12 → 00:20:15 ก็จะทำให้เกิดน้ำมุนตาเสื่อมได้นะคะโรค
00:20:15 → 00:20:17 ประจำตัวที่เกี่ยวข้องก็จะมีโรคเบาหวานนะ
00:20:17 → 00:20:20 คะทำให้เปลี่ยนแปลงสภาพของน้ำมนุตาได้
00:20:20 → 00:20:22 อะไรแบบเนี้ยประวัติของครอบครัวนะคะถ้า
00:20:22 → 00:20:25 เกิดแบบมีการเกิดแบบตัวน้ำมุนตาเสื่อม
00:20:25 → 00:20:28 หรือว่าน้ำมนุนตาลอกนะคะในข้างหนึ่งนะคะ
00:20:28 → 00:20:31 โอกาสก็จะเพิ่มแบบข้างหนึ่งตามมามักเกิด
00:20:31 → 00:20:33 ภายใน 6 เดือนถึง 2 ปีนะคะประวัติ
00:20:33 → 00:20:35 ครอบครัวถ้าเป็นครอบครัวเป็นก็อาจจะเป็น
00:20:35 → 00:20:37 แบบเพิ่มมากขึ้นหรือว่าประวัติส่วนตัวนะ
00:20:37 → 00:20:39 คะอย่างเช่นถ้าเกิดเคยเป็นน้ำมุนตาเสื่อม
00:20:39 → 00:20:41 ข้างนึงแล้วนะคะอีกข้างนึงเนี่ยก็จะมา
00:20:41 → 00:20:44 เกิดตามมาภายใน 6 เดือน-2ปีนี้ได้เลยที่
00:20:44 → 00:20:46 นี้นะคะมันจะมีศัพท์คำนึงเรียกว่า
00:20:46 → 00:20:49 ไอicoparty
00:20:49 → 00:20:53 คือความผิดปกติของน้ำมุนตาในคนที่มีภาวะ
00:20:53 → 00:20:56 สายตาตาสั้นมากๆนะคะผู้ที่มีสายตาสั้นมาก
00:20:56 → 00:20:59 หรือผู้ที่มีสายตาสั้นชนิดรุนแรงเนี่ย
00:20:59 → 00:21:01 อย่างที่บอกว่าน้ำคุณตาโครงสร้างมันจะ
00:21:01 → 00:21:03 เปลี่ยนอยู่แล้วค่ะอย่างเช่นเส้นใยของน้ำ
00:21:03 → 00:21:06 ตาจะรวมกันเป็นก้อนและขุ่นมัวมากขึ้นหรือ
00:21:06 → 00:21:09 ตะกอเนี่ยโฟสเตอร์ทำให้การมองเห็นดรอปลง
00:21:09 → 00:21:11 ความผิดปกติเหล่านี้ร่วมกับการลอกตัวของ
00:21:11 → 00:21:14 น้ำมุนตานะคะก็เป็นสาเหตุทำให้ผู้ที่มี
00:21:14 → 00:21:17 สายตาสั้นเนี่ยโฟสเตอร์จะรบกวนส่งผลมาก
00:21:17 → 00:21:21 กว่าคนทั่วไปค่ะโดยสรุปนะคะไมโอปี้ก็คือ
00:21:21 → 00:21:23 การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับน้ำมุนตาใน
00:21:23 → 00:21:27 ผู้ที่มีสายตาสั้นทำให้มีการลอยตะกอนของ
00:21:27 → 00:21:29 น้ำตาแล้วส่งผลต่อภาพชีวิตคือถ้าเกิดสาย
00:21:29 → 00:21:31 ตาสั้นเนี่ยมันจะมีน้ำหุ้นตาเสื่อมเนี่ย
00:21:31 → 00:21:33 ที่ผิดปกติแล้วอาจจะรบกวนการมองเห็นได้
00:21:33 → 00:21:36 เรียกว่าไอทิโอารy
00:21:36 → 00:21:40 เป็นลักษณะน้ำวุ้นตาที่ผิดปกติของโคนสาย
00:21:40 → 00:21:42 ตาสั้นก็จะเป็นอาการแบบนี้แหละพวก
00:21:42 → 00:21:45 โฟสเตอร์อะไรเงี้ยแหละอย่างที่บอกไปนะคะ
00:21:45 → 00:21:48 ในงานวิจัยนะคะบอกว่าไมโอเปียหรือว่าคน
00:21:48 → 00:21:51 ที่มีสายตาสั้นแล้วก็สายตาสั้นจากความยาว
00:21:51 → 00:21:53 ลูกตาแบบหน้ามาหลังเนี่ยที่ยาวความผิด
00:21:53 → 00:21:55 ปกติสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงน้ำมุนตา
00:21:55 → 00:21:58 ที่เพิ่มขึ้นซึ่งคนที่เป็นแซลไมโอเปีย
00:21:58 → 00:22:01 เนี่ยมักจะมีความรุนแรงของน้ำมุนตาที่
00:22:01 → 00:22:04 เสื่อมเนี่ยที่มากแล้วก็รบกวนชีวิตประจำ
00:22:04 → 00:22:06 วันของพวกเขาเนี่ยมากกว่าคนปกตินะคะเพราะ
00:22:06 → 00:22:08 ฉะนั้นเนี่ยการรักษาในกลุ่มนี้อาจจะมี
00:22:08 → 00:22:10 ประโยชน์นะอย่างที่บอกนะคะอาการของน้ำน้
00:22:10 → 00:22:13 ตาเสื่อมนะก็จะมีโสเตอร์กับแฟชingนะคะ
00:22:13 → 00:22:15 อยากจะเคลียร์ตรงนี้นะคะว่า 2 อันนี้มัน
00:22:15 → 00:22:18 ต่างกันยังไงค่ะโสเตอร์นะคะเป็นจุดดำหรือ
00:22:18 → 00:22:22 อยากลอยไปมานะคะก็คนไข้เจอก็อาจจะบอกว่า
00:22:22 → 00:22:25 แบบเป็นจุดเป็นเส้นเป็นวงแหวนเป็นหยักย่
00:22:25 → 00:22:28 เป็นตัว C เป็นรูปวงกลมนะคะส่วนแฟชingนะ
00:22:28 → 00:22:30 คะก็จะเห็นเลยว่าเป็นแสงวาบแสงแฟลช
00:22:30 → 00:22:33 ประเด็นสำคัญที่อยากให้ทุกคนฟังนะคะก็คือ
00:22:33 → 00:22:37 เอ่อกลไกนะคะพอเมื่อน้ำมุนตามันหดตัวลง
00:22:37 → 00:22:41 แล้วมันไปดึงจอประสาทตาพอไปดึงเสร็จมันก็
00:22:41 → 00:22:44 จะไปกระตุ้นเซลล์ในจอประสาทตาที่บอกไป
00:22:44 → 00:22:46 แล้วว่าจอประสาทตามันมีเซลล์ที่จะแปลง
00:22:46 → 00:22:49 สัญญาณให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าไปที่สมองพอมัน
00:22:49 → 00:22:51 ดึงเซลล์ที่จอประสาตาก็จะเกิดเป็นลักษณะ
00:22:51 → 00:22:52 ของแฟชing
00:22:52 → 00:22:56 ฟ้าแลบขึ้นในตาโดยที่แบบนไม่ได้มีแสงจริง
00:22:56 → 00:22:58 เนี้ยถ้าเป็นแสงแฟชก็คือเกิดจากการที่มี
00:22:58 → 00:23:01 การดึงที่จอประสาทตาแต่ถ้าเป็นโฟสเตอร์
00:23:02 → 00:23:06 เกิดจากการที่เห็นเงาของตัวคล้ำของตัว
00:23:06 → 00:23:08 คอลลาเจนไฟเบอร์นะทีนี้ถ้าเป็นแสงแฟลช
00:23:09 → 00:23:11 สำคัญกว่าเดิมเพราะเอ้ยมันมีแรงดึงที่จอด
00:23:11 → 00:23:14 ประสาทตาเรานี่นาน้ำมุนตามันสามารถที่จะ
00:23:14 → 00:23:18 คอแลกยุบตัวลงได้การยุบตัวลงมันไม่ใช่แค่
00:23:18 → 00:23:20 ว่าจะมีแบบเหมือนโฟสเตอร์เท่านั้นมันอาจ
00:23:20 → 00:23:22 จะมีแรงดึงที่จอประสาตาก็จะทำให้เราเห็น
00:23:22 → 00:23:25 เป็นแสงแฟลชทั้งๆที่ไม่มีแสงจริงทีนี้
00:23:25 → 00:23:28 เวลาที่มีแบบอยากได้รอยไปลอยมาต้องมาแยก
00:23:28 → 00:23:32 แล้วแหละว่าคนที่เป็นเนี่ยมีภาวะที่เรียก
00:23:32 → 00:23:34 ว่า VDM หรือเปล่าอย่างที่บอกในช่วงแรก
00:23:34 → 00:23:37 ใช่มยที่ดร.เแบบเนี่ยเค้าได้แบบเออพยายาม
00:23:37 → 00:23:40 ที่จะแยกกลุ่มคนน่ะที่แบบบ่นเรื่องน้ำ
00:23:40 → 00:23:42 วุ้นตาเนี่ยออกเป็น 2 กลุ่มกลุ่มที่เป็น
00:23:42 → 00:23:45 VDM กับไม่เป็นนะถ้าเป็น VDM ก็คือภาวะ
00:23:45 → 00:23:48 ที่เกิดจากตะกอในวุ้นตาไม่ใช่โครงสร้างใน
00:23:48 → 00:23:53 วุ้นตาเท่านั้นแต่เป็นภาพลวงตาที่สมองรับ
00:23:53 → 00:23:54 รู้เมื่อก่อนเหล่านั้นน่ะเหมือนเคลื่อน
00:23:54 → 00:23:58 ผ่านแล้วแสงไปตกกระทบทำให้ส่งผลต่อการมอง
00:23:58 → 00:24:01 เห็นได้ชัดเจนนะคะโดยเฉพาะการลดลงของความ
00:24:01 → 00:24:03 ไวต่อการเปลี่ยนเcต่างๆหรือเรียกว่า
00:24:04 → 00:24:07 contrast sensitivity ตีทำให้การมอง
00:24:07 → 00:24:10 เห็นคมชัดของคนไทยลดลงเป็นคีย์ที่สำคัญ
00:24:10 → 00:24:13 ของ VDM นะคะมักจะรบกวนการมองเห็นมากกว่า
00:24:13 → 00:24:15 ผู้ที่เป็นน้ำมุนตาธรรมดาหรือว่าตะกอน
00:24:16 → 00:24:19 ธรรมดานะคะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตต่อการ
00:24:19 → 00:24:21 ดำเนินชีวิตเคยเจอเหมือนกันนะคะในชีวิตก็
00:24:21 → 00:24:23 คือแบบเป็นคุณหมอฟันนะแล้วก็มีเนี่ยนี่
00:24:23 → 00:24:26 แหละน้ำตาเสือบนี่แหละแล้วเขาบ่นมากตอนทำ
00:24:26 → 00:24:29 ฟันเมองแบบคอนทสไม่เห็นหมายถึงว่าแบบแยก
00:24:29 → 00:24:31 สีฟันแยกสีอะไรแบบเนี้ยไม่เห็นภาพรู้สึก
00:24:31 → 00:24:34 ว่าภาพมืดภาพมืดลงอย่างเงี้ยนะคะอันเนี้ย
00:24:34 → 00:24:37 ก็ก็จะถือว่าจัดอยู่ในกลุ่มที่เป็น VDM
00:24:37 → 00:24:39 นะอันนี้ก็ต้องมีการแบบจัดการรักษานะคะ
00:24:39 → 00:24:42 ให้เกิดคุณภาพชีวิตการมองเห็นที่ดีนะที
00:24:42 → 00:24:45 นี้การวินิจฉัยภาวะนี้นะคะ VDF เนี่ยจะ
00:24:45 → 00:24:47 ต้องประเมินทั้งแบบโครงสร้างน้ำวุ้นตาทด
00:24:47 → 00:24:49 สอบฟังก์ชันการมองเห็นอย่างละเอียดเพื่อ
00:24:49 → 00:24:52 ที่จะแยกแยะผู้ป่วยระหว่างน้ำมุนตาเสื่อม
00:24:52 → 00:24:55 แบบธรรมดากับที่ไม่ธรรมดาแยกออกจากกันนะ
00:24:55 → 00:24:57 ก็คือโฟสเตอร์ธรรมดาหรือว่ามี VDM ร่วม
00:24:57 → 00:25:00 ด้วยอันเนี้ยโค้กก็ควรจะแย่ออกจากกันนะคะ
00:25:00 → 00:25:02 นอกจากนี้นะบางทีเนี่ยถ้าเราเป็นกลุ่มที่
00:25:02 → 00:25:05 เป็นแบบน้ำมุนตาเสื่อมธรรมดานะคะเราก็จะ
00:25:05 → 00:25:07 มี 3 สัญญาณอันตรายนี้อยากจะให้ฟังตรงนี้
00:25:07 → 00:25:11 เลยนะว่าควรจะต้องไปหาแพทย์ที่บ่อยที่สุด
00:25:11 → 00:25:16 นะคะภายใน 24 ชมงนะคะ 1 คือเห็นอยากได้
00:25:16 → 00:25:19 เพิ่มขึ้นอยากเฉียบพันเหมือนฝนดาวตกเพิ่ม
00:25:19 → 00:25:22 ขึ้นอย่างรวดเร็วมากมายของจุดเล็กๆซึ่ง
00:25:22 → 00:25:25 มักจะถูกบรรยายว่าเหมือนฝูงแมงหวี่พริก
00:25:25 → 00:25:28 ไทยป่นหรือเขม่าควันอันนี้สำคัญคือสมมุติ
00:25:28 → 00:25:31 ว่าเราเห็นแบบอันเดียว 2 อันแต่อยู่ดีๆ
00:25:31 → 00:25:34 เราเห็นฝนดาวตกผงพริกไทยปดคนเขม่าความ
00:25:34 → 00:25:37 เยอะๆอันเนี้ยอันตรายละมันจะบอกว่าอาจจะ
00:25:37 → 00:25:40 มีจอตาฉีดนะคะเพราะว่าตัวจอตาฉีดเนี่ยมัน
00:25:40 → 00:25:43 จะมีตัวเซลล์ประสาทตาที่มันเป็นแบบเซลล์
00:25:43 → 00:25:46 เม็ดสีเล็กๆเพราะมันแบบฉีกขึ้นมานะมัน
00:25:46 → 00:25:48 พรึบมาอันเนี้ยก็จะเป็นเซลล์เหล่านั้นน่ะ
00:25:48 → 00:25:50 มันพรึบออกมาเี่อาจจะมีจอตาฉีกได้นะคะ
00:25:50 → 00:25:53 เป็นสัญญาณแรกอันที่ 2 เห็นแสงวาบใหม่
00:25:53 → 00:25:56 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญนะคะแม้ว่าแสง
00:25:56 → 00:25:59 วาบจะพบได้ทั่วไปแต่ว่าเพิ่มขึ้นถี่ๆอะไร
00:25:59 → 00:26:01 อย่างเงี้ยก็ถือว่าเป็นสัญญาณเตือนก็ต้อง
00:26:01 → 00:26:04 มาพบแพร่นะคะหรือว่าเป็นแบบเงาเลยตามมัว
00:26:04 → 00:26:08 เลยอันนี้ชัวร์มากนะคะว่าจะเป็นแบบเหมือน
00:26:08 → 00:26:11 มีจอประสาทตานะคะฉีดขาดนะคะเงาดำหรือม่าน
00:26:12 → 00:26:15 บังนะคะเป็นแบบลักษณะมันจะเป็นเงาดำๆเทาๆ
00:26:15 → 00:26:17 นะคะบทบางการมองเห็นส่วนใดส่วนหนึ่งของ
00:26:17 → 00:26:21 ถาวรก็คือไม่ใช่ว่าแบบเออเห็นภาพครึ่งซีก
00:26:21 → 00:26:23 ตรงเนี้ยแต่แต่วันต่อมาหายอันเนี้อันนี้
00:26:23 → 00:26:26 ก็ไม่นับว่าเป็นแบบที่อันตรายนะมันจะต้อง
00:26:26 → 00:26:29 ถาวรเลยอันนี้อันตรายนะคะก็อาการเหล่านี้
00:26:29 → 00:26:31 เป็นอาการของจอประสาทตาลอกหลุดนะคะก็ควร
00:26:31 → 00:26:35 จะรับการรักษาภายใน 72 ชม.นะคะสำหรับการ
00:26:35 → 00:26:37 วินิจฉัยนะคะพอมาเจอหมอเนี่ยสิ่งที่ต้อง
00:26:37 → 00:26:39 ย้ำก็คือวินิจฉัยนะคะโดยหาสาเหตุที่แท้
00:26:39 → 00:26:42 จริงของอาการแสงวาบแล้วก็จุดดำรอยไปรอยมา
00:26:42 → 00:26:44 บางทีมันอาจจะไม่ใช่โฟสเตอร์ก็ได้มันอาจ
00:26:44 → 00:26:47 จะเป็นแบบเหมือนตัวจุดดำที่เกิดจากลาสาย
00:26:47 → 00:26:49 ตาเสียก็ได้นะคะเอ่ออันนี้ก็ต้องแยกกันนะ
00:26:49 → 00:26:52 คะต้องขยายม่านตาแน่ๆในการตรวจนะคะเพื่อ
00:26:52 → 00:26:54 จะดูว่าแบบเอ้ยจอตามันมีฉีดค่ะหรือว่ามี
00:26:54 → 00:26:58 รูตรงไหนมนะคะโดยเอ่อการตรวจนะคะก็จะ
00:26:58 → 00:27:00 เริ่มต้นด้วยการหยอดยาเพื่อขยายม่านตานะ
00:27:00 → 00:27:03 คะแพทย์ก็จะใช้เลนส์พิเศษนะคะกับตัวกล้อง
00:27:03 → 00:27:05 จุรทัศน์ตรวจตาหรือว่าสลีมอทโมสโคปเนี่ย
00:27:05 → 00:27:08 สอบไปนะคะเพื่อให้ครอบคลุมจสาตาส่วนตัว
00:27:08 → 00:27:11 หมอเองนะจะชอบแบบเออใช้เลนส์ที่เป็นเลนส์
00:27:11 → 00:27:13 เลเซอร์อันนั้นก็จะเห็นกวางนะคะก็คือ
00:27:13 → 00:27:16 เลนส์ที่เรียกว่า 165 นะคะเพื่อที่จะดูจว
00:27:16 → 00:27:19 สัตาโดยเฉพาะแบบส่วนขอบๆเพราะว่าปกติอ่ะ
00:27:19 → 00:27:22 30% เนี่ยมันจะชอบแบบไปที่ขอบจะเห็นรู
00:27:22 → 00:27:24 ฉีกค่ะที่ขอบอะไรอย่างเงี้ยค่ะในบางกรณี
00:27:24 → 00:27:27 ก็จะต้องมีการใช้เครื่องมือวินิจฉัยพิเศษ
00:27:27 → 00:27:29 อย่างเช่นเครื่อง OCT นะคะ Optical
00:27:29 → 00:27:32 Coherence Thromography นะคะเพื่อตัด
00:27:32 → 00:27:35 ขวางความละเอียดสูงของตัวจุดรับภาพชัดนะ
00:27:35 → 00:27:38 คะว่ามันแบบดึงจนแบบบวมมั้หรืออะไรมยแล้ว
00:27:38 → 00:27:40 ก็มีการแบบใช้อัตต้าซาวด์นะคะเพื่อ
00:27:40 → 00:27:43 ประเมินดูนะคะว่าตัวน้ำตาเนี่ยมันมีแบบ
00:27:43 → 00:27:47 เหมือนขุ่นอะไรยังไงนะคะวิธีการรักษานะคะ
00:27:47 → 00:27:51 ก็มีตั้งแต่การเฝ้าดูเฝ้าระวังนะคะรู้ไว้
00:27:51 → 00:27:53 ในใจว่าอาการที่ต้องมาพบแพทย์ 3 อย่างมี
00:27:53 → 00:27:55 อะไรบ้างจนถึงการเทคโนโลยีล่าสุดที่วัน
00:27:55 → 00:27:58 นี้เราจะไปให้ดูกันค่ะแนวทางแรกนะคะก็คือ
00:27:58 → 00:28:01 เป้าดูแล้วก็การปรับตัวค่ะแนวทางนี้นะคะ
00:28:01 → 00:28:03 ไม่ต้องผ่าตาไม่ต้องกินยาไม่ต้องหยอดยา
00:28:04 → 00:28:06 อะไรนะคะเพียงแต่ว่าเฝ้าดูแล้วก็ปรับตัว
00:28:06 → 00:28:09 นะคะ 95% นะคะของเคสแบบนี้นะคะจะเป็นเคส
00:28:09 → 00:28:12 ที่ไม่อันตรายนะคะเพราะว่าเราสมองเรา
00:28:12 → 00:28:14 เนี่ยจะเก่งมากนะคะมันจะมีสิ่งที่เรียก
00:28:14 → 00:28:16 ว่าneurรadดaptationเราจะไม่สนใจจุดดำ
00:28:16 → 00:28:18 นั้นเพราะว่ามันไม่สำคัญในชีวิตของเรานะ
00:28:18 → 00:28:21 คะสมองเราเก่งค่ะอะไรที่ไม่สำคัญในชีวิต
00:28:21 → 00:28:24 อะไรที่แบบเออเห็นแล้วมันไม่ได้มีผลต่อ
00:28:24 → 00:28:26 ชีวิตไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นสมองจะปรับ
00:28:26 → 00:28:28 ตัวเรียกว่าneวรadดapเตationนะคะทำให้
00:28:29 → 00:28:32 ตะกอนบางส่วนน่ะที่มันแบบเอ้ยเห็นเคยจัด
00:28:32 → 00:28:34 เห็นแบบที่เยอะๆเนี่ยก็จะไม่เห็นแล้วนะคะ
00:28:34 → 00:28:38 ปกติแล้วนะคะกรณีที่ตรวจไม่พบมาตรวจปึ๊บ
00:28:38 → 00:28:41 ไม่พบรอยฉีดขาดแนะนำให้ตรวจเพิ่มภายใน 2-4
00:28:41 → 00:28:43 สัปดาห์นะคะแล้วหลังจากนั้นน่ะไม่พบอีกก็
00:28:43 → 00:28:46 ตรวจ 3 เดือน 6 เดือนได้เลยนับตั้งแต่จน
00:28:46 → 00:28:49 ที่มีอาการครั้งแรกนะคะกรณีตรวจไม่พบรอย
00:28:49 → 00:28:52 ฉีดขาดแต่พบเลือดออกอันนี้อันตรายนะคะถ้า
00:28:52 → 00:28:54 ตรวจไม่พบฉีดขาแต่พบเลือดออกเนี่ยอาจจะ
00:28:54 → 00:28:57 ต้องแบบมาตรวจทรัพย์นะคะภายใน 1-2
00:28:57 → 00:28:59 สัปดาห์นะคะแล้วก็หลังจากนั้นถ้าไม่มี
00:28:59 → 00:29:02 อะไรก็ 3-6 เดือนเช่นเดียวกันนะคะตั้งแต่
00:29:02 → 00:29:06 วันที่เริ่มมีอาการค่ะในกรณีที่เอ่อตรวจ
00:29:06 → 00:29:08 ไม่เจอรอยฉีดขาดนะคะแต่มีเลือดออกในน้ำ
00:29:08 → 00:29:12 มุนตามากเม็ดสีในส่วนของน้ำมุนตามากนะคะ
00:29:12 → 00:29:14 ก็ยังทำตรวจซ้ำในวันถัดไปได้นะคะเนื่อง
00:29:14 → 00:29:17 จากมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดรอยฉีดขาด
00:29:17 → 00:29:20 แล้วเราจะประสาทตะตามมานะคะสำหรับแนวทาง
00:29:20 → 00:29:22 ที่ 2 แม้ว่าผู้ป่วยเนี่ยสามารถปรับตัว
00:29:22 → 00:29:24 แล้วก็เริ่มชิดได้แล้วนะคะแต่ว่าบางคน
00:29:24 → 00:29:28 เนี่ยก็ส่งผลต่อชีวิตแล้วก็อาจจะทนไม่ไหว
00:29:28 → 00:29:30 นะคะซึ่งต้องการการรักษานะคะเป็นแนวทาง
00:29:30 → 00:29:33 ที่ 2 ในการรักษาค่ะปัจจุบันมีทางเลือก 2
00:29:33 → 00:29:35 ทางก็คือ 1 การยิงเลเซอร์นะคะแล้วก็ 2
00:29:35 → 00:29:38 การผ่าตัดน้ำหุ้นตาค่ะการผ่าตัดน้ำหุ้นตา
00:29:38 → 00:29:40 เรียกว่าคาana withomy นะคะงานวิจัยล่า
00:29:40 → 00:29:42 สุดเนี่ยก็พูดถึงการเทคนิคแผนเล็กที่
00:29:42 → 00:29:46 เรียกว่าไครision detectomy นะคะทำให้แผ่
00:29:46 → 00:29:48 หายเร็วขึ้นความเสี่ยงต่อการเกิดผลแทรก
00:29:48 → 00:29:51 ซ้อนน้อยลงจากสมัยก่อนนะคะหลักการก็คือ
00:29:51 → 00:29:54 เหมือนการเปลี่ยนน้ำในตู้ปลานะคะก็เอาน้ำ
00:29:54 → 00:29:56 ตาเก่าออกแล้วก็เอาน้ำตาใส่ไมเข้าไปแทน
00:29:56 → 00:29:59 ที่นะคะจะเหมาะกับคนที่มีโสเตอร์เป็น
00:29:59 → 00:30:02 จำนวนมากจนบทบางการมองเห็นอย่างรุนแรง
00:30:02 → 00:30:05 แล้วก็ไม่รักษาด้วยเลเซอร์ไม่ได้นะคะข้อ
00:30:05 → 00:30:07 ดีก็คือสามารถเอาโฟเตอร์ออกได้นะคะเกือบ
00:30:07 → 00:30:09 จะ 100% เลยแต่ว่าการผ่าตัดเนี่ยมีความ
00:30:09 → 00:30:12 เสี่ยงสูงกว่าเลเซอร์นะคะเช่นมีต้นกระจก
00:30:12 → 00:30:14 ภายใน 1 ปีอาจจะเกิดจอตาได้หรือว่ามีการ
00:30:14 → 00:30:18 ติดเชื้อได้นะคะซึ่งการผ่าตัดน้ำนุ้ตาเอา
00:30:18 → 00:30:20 ออกเปลี่ยนเหมือนน้ำในตู้ป่าเรื่องใหญ่
00:30:20 → 00:30:23 ต้องปรึกษาหมอจอประสาทตานะคะว่าเตาเนี่ย
00:30:23 → 00:30:25 เหมาะหรือเปล่าเป็นข้อบงชีหรือเปล่านะคะ
00:30:25 → 00:30:27 อันนี้ไม่ใช่ว่าแบบเราก็จะทำได้ทุกคนไม่
00:30:27 → 00:30:30 ใช่นะเพราะว่าผลแทรกซ้อนจะจะเยอะมานะคะ
00:30:30 → 00:30:33 โดยเฉพาะเต้ากระจกภายใน 1 ปีนะคะก็อาจจะ
00:30:33 → 00:30:35 เกิดขึ้นมาได้นะคะ 2 การยิงเลเซอร์นะคะ
00:30:35 → 00:30:38 การยิงเลเซอร์จุดดำลอยไปลอยมานะคะเรียก
00:30:38 → 00:30:41 ว่าการยิงแยกเลเซอร์วิทิโอค่ะการยิงแยก
00:30:41 → 00:30:44 เลเซอร์วิทิโอนะคะก็มีงานล่าสุดนะคะอ้าง
00:30:44 → 00:30:47 อิงนะคะผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการยิง
00:30:47 → 00:30:49 เลเซอร์มีประสิทธิภาพแล้วก็ปลอดภัยนะคะ
00:30:49 → 00:30:52 โดยเฉพาะเลเซอร์เครื่องใหม่ๆนะคะตะกอนที่
00:30:52 → 00:30:54 คนใจยิงนะคะจำได้มยตะกอนที่เป็นเรียกว่า
00:30:55 → 00:30:57 ไลingนะคะหรือว่าตะกอนที่แบบอยู่หน้าพวก
00:30:57 → 00:31:00 ภาษาตาแล้วมันบังมากๆนะค่ะข้อดีข้อเสีย
00:31:00 → 00:31:02 ของเลเซอร์เนี่ยก็คือไม่ต้องผ่าตัดทำได้
00:31:02 → 00:31:04 เลยทำได้เร็วอาจจะต้องแบบทำหลายครั้งแล้ว
00:31:04 → 00:31:07 ก็ไม่ได้เหมาะกับตะกอนทุกชนิดค่ะงานวิจัย
00:31:07 → 00:31:10 ในอนาคตนะคะก็พูดถึงยาหยอดตานะคะอโทฟีน
00:31:10 → 00:31:13 เข้มข้นต่ำอาจจะแบบทำให้ม่านตาขยายเล็ก
00:31:13 → 00:31:15 น้อยเงาของโปสเตอร์ลดลงได้เล็กน้อยค่ะแต่
00:31:15 → 00:31:19 ว่าก็จะรู้สึกรำคาญลงนะคะแต่ยาเนี่ยก็มี
00:31:19 → 00:31:21 ผลเสียนะคะหรือว่าการฉีดยาเข้าไปในตา
00:31:21 → 00:31:23 อะไรี้ก็มีการกล่าวถึงแนวคิดนี้ว่าจะไป
00:31:23 → 00:31:26 สลายโฟสเตอร์แต่ปัจจุบันเนี่ยก็ยังไม่ได้
00:31:26 → 00:31:28 มีงานวิจัยที่ทำในมนุษย์หรือว่าได้ผลเป็น
00:31:28 → 00:31:30 อย่างดีที่เอามาใช้เป็น standardment นะ
00:31:30 → 00:31:33 คะในเรื่องนี้ก็จะต้องรองานวิจัยต่อไปนะ
00:31:33 → 00:31:36 คะทีนี้หมออยากจะให้มาดูนะคะงานวิจัยใน
00:31:36 → 00:31:39 เรื่องของการยิงเลเซอร์นะคะที่เลเซอร์
00:31:39 → 00:31:41 เนี่ยเนื่องจากว่ามันแบบทำได้เลยยิงได้
00:31:42 → 00:31:44 เลยเป็น OPD casสนะคะก็จะมีงานวิจัยเริ่ม
00:31:44 → 00:31:48 ต้นในปี 2002 นะคะโดยเลนนี่และคณะนะคะได้
00:31:48 → 00:31:51 นำแยกแคปเนี่ยมาใช้ในคนไข้ที่เป็นอนุตา
00:31:51 → 00:31:55 เสื่อม 38 คนพบว่ารักษาไป 38% ของผู้ป่วย
00:31:55 → 00:31:58 มีอาการดีขึ้นระดับปานกลางดีขึ้นมากตาม
00:31:58 → 00:32:00 ความรู้สึกสึกของคนไข้นะคะแล้วก็ 11 คน
00:32:00 → 00:32:03 เนี่ยไม่พอใจผลลัพธ์ด้วยเลเจอร์หยัดแขนนะ
00:32:03 → 00:32:05 คะแล้วก็เลยมาได้รับการผ่าตัดที่หลัง
00:32:05 → 00:32:09 อันเนี้ยเป็นงานวิจัยแรกนะปี 2002 นานมา
00:32:09 → 00:32:12 ละประมาณ 20 กว่าปีละต่อมาปี 2017 นะคะก็
00:32:12 → 00:32:14 ได้ทดลองเหมือนกันนะคะเป็นเป็นแบบสุ่มก็
00:32:14 → 00:32:16 คือมีการแบบทำเลเซอร์หลอกด้วยกลุ่มนึงทำ
00:32:16 → 00:32:18 เลเซอร์จริงกลุ่มนึงทำเลเซอร์หลอกแล้วก็
00:32:18 → 00:32:20 มีเปรียบเทียบกันว่าเป็นยังไงอ่ะนะคะอัน
00:32:20 → 00:32:25 นี้เป็นงานวิจัยของสาณะซึ่งไม่รู้ก็ผลการ
00:32:25 → 00:32:29 ศึกษานะคะก็พบว่า 53% ของผู้ป่วยที่ได้
00:32:29 → 00:32:31 รับเลเซอร์จริงเนี่ยมีอาการดีขึ้นอย่างมี
00:32:31 → 00:32:33 นัยยะสำคัญนะคะในความรู้สึกของตนเองแล้ว
00:32:33 → 00:32:36 ก็กลุ่มที่ได้รับเลเซอร์หลอกไม่มีอาการดี
00:32:36 → 00:32:39 ขึ้นนะคะอะไรประมาณนี้นะคะความแบบผลแทรก
00:32:39 → 00:32:41 ซ้อนระหว่าง 2 กลุ่มก็ไม่ต่างกันค่ะแล้ว
00:32:41 → 00:32:44 ก็ปี 2023 ของรินและคณะนะคะวิธีการศึกษา
00:32:44 → 00:32:47 นะคะโดยสรุปเนี่ยก็คือเอาเป็นมาแค่แบบ
00:32:47 → 00:32:49 เหมือนการศึกษาย้อนหลังอะไรอย่างเงี้ย
00:32:49 → 00:32:51 เก็บข้อมูลคนไข้ย้อนหลังอ่ะหรือว่ากลุ่ม
00:32:51 → 00:32:54 ที่ได้รับการยิงเลเซอร์อ่ะเป็นยังไงนะคะ
00:32:54 → 00:32:56 แต่ว่างานวิจัยของรินเนี่ยในปี 2023
00:32:56 → 00:33:00 เนี่ยก็ทำในคนถึง 221 คนนะระยะเวลาติดตาม
00:33:00 → 00:33:04 เฉลี่ยก็ 21 เดือนนะคะพบว่านะคะการทำ
00:33:04 → 00:33:06 เลเซอร์ 57%
00:33:06 → 00:33:09 ดีขึ้นอย่างชัดเจนไม่พบภาวะแทรกซ้อนแม้
00:33:09 → 00:33:11 แต่รายเดียวนะคะเค้าก็สรุปว่าปัจจัยที่มี
00:33:12 → 00:33:14 ผลต่อการดีขึ้นของอาการน่ะก็คืออายุยิ่ง
00:33:14 → 00:33:16 อายุมากนะคะก็จะยิ่งแบบเหมือนทำแล้วได้
00:33:16 → 00:33:19 ประโยชน์นะคะข้อจำกัดของงานวิจัยนี้นะคะ
00:33:19 → 00:33:21 เนื่องจากว่าเป็นงานการศึกษาย้อนหลังใน
00:33:21 → 00:33:24 ศูนย์เดียวไม่มีการสุ่มตัวยาไม่ได้ใช้แบบ
00:33:25 → 00:33:27 OCT ในการประเมินจออัตราทำให้ไม่สามารถ
00:33:27 → 00:33:29 วัดคุณภาพการมองเห็นได้อย่างชัดเจนก็แบบ
00:33:29 → 00:33:31 เหมือนไปถามคนไข้ว่าดีขึ้นมั้ยอะไรอย่าง
00:33:31 → 00:33:33 เงี้ยพบว่า 54 คนน่ะดีขึ้นอีกที่เหลือก็
00:33:33 → 00:33:35 แบบไม่ดีขึ้นเฉยๆอะไรแบบนี้นะคะแต่งาน
00:33:35 → 00:33:38 วิจัยเก็ไม่ได้ไม่พบผลแซกซ้อนที่อันตราย
00:33:38 → 00:33:42 ของเลเซอร์ค่ะต่อมาปี 2024 นะคะก็มีการ
00:33:42 → 00:33:43 เปรียบเทียบกันระหว่างประสิทธิภาพการ
00:33:43 → 00:33:47 รักษาแบบทำเร็วกับทำช้านะคะคือเหมือนการ
00:33:47 → 00:33:50 รักษาก่อนๆน่ะเขาจะแบบเอ้ยรอไปก่อนรอไป
00:33:50 → 00:33:52 ก่อนปี 2 ปีเค่อยมายิงเลเซอร์ถ้าไม่ดี
00:33:52 → 00:33:53 ขึ้นหรือว่ามากกว่า 6 เดือนอะไรอย่าง
00:33:53 → 00:33:55 เงี้ยแต่การศึกษา 2024 เนี่ยของโชว์และ
00:33:55 → 00:33:57 คณะเนี่ยก็เปรียบเทียบเลยว่าทำเร็วหรือทำ
00:33:57 → 00:34:00 ช้าเนี่ยดีกว่ากันนะคะงานวิจัยเนี้ยเป็น
00:34:00 → 00:34:01 งานวิจัยที่แบบสุ่มเป็นdouดับเบิ้ล by ก็
00:34:01 → 00:34:04 คือแบบเป็นแบบคล้ายๆแบบ chesser นั่นแหละ
00:34:04 → 00:34:07 เปรียบเทียบผลยังไม่สรุปนะคะก็เดี๋ก็ลอง
00:34:07 → 00:34:10 ติดตามต่อไปนะคะสรุปนะคะผลลัพธ์ในระยะ
00:34:10 → 00:34:12 สั้นจากหลายงานวิจัยนะคะพบว่าการยิง
00:34:13 → 00:34:16 เลเซอร์ช่วยลดอาการสดจำได้ประมาณ 53-77%
00:34:17 → 00:34:19 แต่ในระยะยาวที่ติดตามมาเกิน 2 ปีเนี่ยผล
00:34:19 → 00:34:23 ลับอยู่ที่ 50% นะคะ 1 ใน 3 ของผู้ป่วย
00:34:23 → 00:34:28 ที่ไม่ได้รับผลดีเนี่ยก็ก็คือมีลักษณะที่
00:34:28 → 00:34:31 เป็นจุดดำแบบเมลฟอร์มนะคะก็คือตอบสนองต่อ
00:34:31 → 00:34:34 เลเซอร์ต่ำกว่าค่ะก็คือเป็นเส้นๆน่ะกับ
00:34:34 → 00:34:36 แบบเป็นแบบฝ้าอย่างเงี้ยอันเนี้อันนี้ไม่
00:34:36 → 00:34:38 ได้ผลดีแบบ 2 อันนี้นะคะผู้ที่สายตาสั้น
00:34:38 → 00:34:42 จัดๆมีความยาวลูกตาสูงๆมักจะมีจำนวนจุดดำ
00:34:42 → 00:34:44 เนี่ยกระจายยากต่อการรักษาด้วยการยิง
00:34:44 → 00:34:46 เลเซอร์กลุ่มนี้ก็ไม่เหมาะสมนะคะถ้าเกิด
00:34:46 → 00:34:49 แบบเป็นแบบตาสั้นมากๆลูกตายาวมากๆไม่ไม่
00:34:49 → 00:34:52 ควรยิงเลเซอร์เลยอันนี้เนาะผู้สูงอายุมี
00:34:52 → 00:34:55 แนวโน้มในการยิงเลเซอร์ได้ดีกว่านะคะการ
00:34:55 → 00:34:57 รายงานผลลัพธ์จากการยิงเลเซอร์แม้จะน้อย
00:34:57 → 00:35:00 แต่ก็มีมีบ้างนะคะอย่างเช่นต้อกระจกเห็น
00:35:01 → 00:35:03 ม่านตาเลือดตาออกอะไรอย่างแบบเนี้ยค่ะแต่
00:35:03 → 00:35:06 ว่าบางงานวิจัยอ่ะก็ไม่พบบางงานวิจัยก็พบ
00:35:06 → 00:35:08 นะยังไม่มีงานวิจัยที่จะเปรียบเทียบอย่าง
00:35:08 → 00:35:10 ชัดเจนว่าเลเซอร์หรือผ่าตัดแบบไหนดีกว่า
00:35:10 → 00:35:13 กันอันนี้ไม่มีนะคะทีนี้เอ่ออยากจะพูดใน
00:35:13 → 00:35:15 เรื่องของฟิวเจอร์ในอนาคตของการรักษาน้ำ
00:35:15 → 00:35:19 มุตานะคะมีเทคโนโลยีหลายอันที่กำลัง
00:35:19 → 00:35:22 ถูกพัฒนาแต่สรุปก่อนนะว่ายังไม่มีอะไรได้
00:35:23 → 00:35:25 ผลเลยนะคะแต่ว่าจะพูดคร่าวๆให้ฟังนะคะ 1
00:35:25 → 00:35:28 ก็คือเลเซอร์ปัจจุบันเนี่ยเขาใช้แยก
00:35:28 → 00:35:30 เลเซอร์อยู่นะคะซึ่งเป็นเลเซอร์ของตา
00:35:30 → 00:35:33 เนี่ยแหละแต่ว่าเลเซอร์ที่ในอนาคตนะคะจะ
00:35:33 → 00:35:36 มีก็คือแบบเป็นpิose rer หรือว่าเtซเซอร์
00:35:36 → 00:35:39 อะไรแบบนั้นเป็นไปต้นใช้เลเซอร์อันใหม่มี
00:35:39 → 00:35:42 การนำภาพ 3 มิติมายิงให้มันได้แม่นยำมาก
00:35:42 → 00:35:45 ขึ้นพลังงานในการยิงอาจจะสูงกว่าแยกได้
00:35:45 → 00:35:48 แยกเนี่ยมันทำลายแล้วก็เผาเผาทำลายนะคะ
00:35:48 → 00:35:51 แต่ว่าตัวเลเซอร์รุ่นใหม่เนี่ยอาจจะทำได้
00:35:51 → 00:35:53 ตรงจุดมากกว่านั้นอันนี้เป็นฟิวเจอร์ของ
00:35:53 → 00:35:56 การรักษานะคะอีกการรักษาแบบนึงก็คือใช้ยา
00:35:56 → 00:35:59 ฉีดเข้าไปที่น้ำมุตานะคะอย่างที่เคยบอก
00:35:59 → 00:36:02 คร่าวๆในเมื่อกี้นี้นะคะก็คือช่วยสลายอ่ะ
00:36:02 → 00:36:05 แหละเออน้ำมุนตาแต่ว่าอันเนี้ยคือหมอตาจะ
00:36:05 → 00:36:08 ชินกับการใช้ยาฉีเข้าไปในตามากไม่ได้เป็น
00:36:08 → 00:36:09 เรื่องแปลกอะไรก็ฉี่กันอยู่ทุกวี่ทุกวัน
00:36:10 → 00:36:12 นะคะในการรักษาบางโรคเออก็เลยแบบมีไอเดีย
00:36:12 → 00:36:15 ว่าเฮ้ยแบบมันจะเอาอะไรที่มันมาสลายแบบ
00:36:15 → 00:36:19 ได้มยนะคะแต่ว่าทีนี้เนี่ยความเป็นไปได้
00:36:19 → 00:36:21 ของการฉีดยาเข้าไปแล้วก็สลายเนี่ยมันก็มี
00:36:21 → 00:36:23 อยู่แต่ว่ามันก็ยังจะต้องรักษาต่อไปเพราะ
00:36:23 → 00:36:25 ว่าตอนนี้ก็อยู่ในขั้นทดลองอยู่ยังไม่ได้
00:36:25 → 00:36:29 แบบอยู่ในมนุษย์นะคะต่อมาอันที่ 3 นะคะก็
00:36:29 → 00:36:32 คือเรื่องของnาโนบle thapy นะคะก็มีการ
00:36:32 → 00:36:34 ศึกษาในมหาวิทยาลัยเกนประเทศเบลเยี่มนะคะ
00:36:35 → 00:36:37 มีการพัฒนาแนวทางใหม่ในการใช้อานุภาคนาโน
00:36:38 → 00:36:40 นะคะที่ออกแบบให้เกาะเฉพาะกับจุดฝุ่นใน
00:36:40 → 00:36:43 น้ำวุ้นตาซึ่งเป็นสาเหตุของโปสเตอร์หรือ
00:36:43 → 00:36:46 VDN นะคะเbatเนี่ยคนเดิมก็อธิบายว่าการ
00:36:46 → 00:36:48 ฉีดนะคะหน้าอนูเข้าไปนะคะแล้วก็ใช้
00:36:48 → 00:36:50 เลเซอร์พลังงานต่ำเนี่ยเข้าไปยิงโดยไม่
00:36:51 → 00:36:53 ต้องเล็งตรงๆนะคะอภาคเหล่านี้จะไปเกาะกับ
00:36:53 → 00:36:56 เอ่อจุดขุ่นโดยโดยตรงแล้วก็ดูดซับพลังงาน
00:36:56 → 00:36:58 จากเลเซอร์ไปเนี่ยก็จะไปทำลายเนื้อเยื่อ
00:36:58 → 00:37:00 กลุ่มคอลลาเจนอันนี้ก็เป็นการพัฒนาที่
00:37:00 → 00:37:03 ตื่นเต้นมากๆเหมือนกันนะคะอันเนี้ยอยู่ใน
00:37:03 → 00:37:05 ขั้นห้องทดลองในสัตว์ทดลองยังไม่ได้วิจัย
00:37:06 → 00:37:09 ในคนนะคะพบว่าการใช้พลังงานในการใช้
00:37:09 → 00:37:13 nาโนบleเทปี่เนี่ยมันได้ผลค่อนข้างดีแล้ว
00:37:13 → 00:37:15 ก็รักษาใช้พลังงานต่ำกว่าการใช้แยะถึง
00:37:15 → 00:37:17 1000 เท่านะคะอันนี้ก็เป็นสิ่งที่อยาก
00:37:17 → 00:37:20 ตื่นเต้นอยากจะเห็นจริงในผู้ป่วยซึ่งเรา
00:37:20 → 00:37:22 ก็ต้องรอต่อไปเนาะสำหรับวันนี้นะคะก็อยาก
00:37:22 → 00:37:25 จะขอสรุปเรื่องของตัวโสเตอร์นะคะอาจจะ
00:37:25 → 00:37:27 เป็นรายละเอียดที่แตกต่างออกไปนะคะจาก
00:37:28 → 00:37:30 ช่องอื่นๆที่ทุกคนเคยได้ยินมานะคะก็จะ
00:37:30 → 00:37:33 เป็นการรายละเอียดที่ค่อนข้างเจาะลึกนะคะ
00:37:33 → 00:37:36 อย่างที่บอกไปนะคะขอสรุปคำพูดของดร.
00:37:36 → 00:37:39 Sayback นะค่ะดร.เซบเนี่ยก็พูดว่ามันไม่
00:37:39 → 00:37:41 บ่อยนักนะคะที่เราจะเจอความต้องการทางการ
00:37:41 → 00:37:44 แพทย์ที่ยังไม่ได้รับการตอบสองหรือ unmed
00:37:44 → 00:37:47 medical need นะคะแต่เพียงแค่เราเนี่ย
00:37:48 → 00:37:51 เปิดใจแล้วก็เปิดหูฟังผู้ป่วยเราก็จะ
00:37:51 → 00:37:53 สามารถค้นพบแนวทางการรักษาใหม่ๆการรักษา
00:37:54 → 00:37:57 วินิจฉัยใหม่ๆที่สอดคล้องการต้องการของ
00:37:57 → 00:37:59 พวกเขาได้เป็นอย่างดีผู้ป่วยโฟสเตอร์
00:37:59 → 00:38:02 จำนวนมากอาจจะรู้สึกว่าพวกเขาเนี่ยถูก
00:38:02 → 00:38:05 เพิกเฉยบางครั้งเนี่ยก็ถึงแบบเออบอกว่า
00:38:05 → 00:38:08 เฮ้ยแบบเอ่อกังวลเกินเกินไปแบบเออวิตก
00:38:08 → 00:38:11 กังวลเกินไปนะคะดูแขนก็เข้านะคะแต่เมื่อ
00:38:11 → 00:38:13 ความรู้แล้วก็งานวิจัยของเราเพิ่มขึ้นเรา
00:38:13 → 00:38:17 ก็จะมีเครื่องมือที่ช่วยให้เราเข้าใจผู้
00:38:17 → 00:38:20 ป่วยที่กำลังเผชิญหน้าเกี่ยวกับการที่มี
00:38:20 → 00:38:22 อาการโฟสเตอร์อยู่ก็ได้นะคะแล้วก็สามารถ
00:38:22 → 00:38:25 แนวพัฒนาแนวทางรักษาที่ปลอดภัยแล้วก็
00:38:25 → 00:38:29 ประสิทธิภาพค่ะขอจบด้วยคำพูดของดร.เแบบ
00:38:29 → 00:38:31 ประโยคข้างต้นนะคะยังไงก็แล้วแต่นะคะถ้า
00:38:31 → 00:38:34 ใครสนใจแบบเทคโนโลยีการรักษาใหม่ๆเพื่อ
00:38:34 → 00:38:36 เพิ่มพัฒนาการมองเห็นที่ดีขึ้นหรือว่า
00:38:36 → 00:38:38 เพิ่ม Performance ในเรื่องต่างๆเนี่ยก็
00:38:38 → 00:38:41 ฝากกดไลค์กดแชร์กด Subscribe ในคลิปนี้
00:38:41 → 00:38:43 ด้วยนะคะสำหรับ Episode นี้ขอลาไปก่อนค่ะ
00:38:43 → 00:38:46 สวัสดีค่ะ