00:00:00 → 00:00:02 การที่เราสังเกตได้ดีเนี่ยมันทำให้เรามี
00:00:02 → 00:00:05 ต้นทุนแล้วก็มีข้อมูลเบื้องต้นเนี่ยค่อน
00:00:05 → 00:00:08 ข้างเยอะแล้วก็ตรงประเด็นคนเราเพรู้สึก
00:00:08 → 00:00:10 ว่ามีอีกคนนึงฟังอยู่เนี่ยมันความรู้สึก
00:00:10 → 00:00:12 มันอยากจะเล่ามากขึ้นแล้วการสื่อสารเทำ
00:00:12 → 00:00:15 ให้เกิดพลังไม่ว่าการพลังในการเห็นอกเห็น
00:00:15 → 00:00:19 ใจพลังในการร่วมไม้ร่วมมือทำให้เราได้
00:00:19 → 00:00:21 สิ่งที่เราต้องการทำให้ชุมชนหรือสังคม
00:00:21 → 00:00:25 เนี่ยไปในทิศทางเดียวกันหรือเห็นอกเห็นใจ
00:00:25 → 00:00:28 ร่วมไม้ร่วมมือกันได้อาศัยการสื่อสารการ
00:00:28 → 00:00:38 พูดทั้งสิ้นครับ
00:00:38 → 00:00:41 สวัสดีค่ะก็วันนี้นะคะเป็น podcast ครั้ง
00:00:41 → 00:00:43 แรกค่ะของสถาบันการเรียนรู้การสร้างเสริม
00:00:43 → 00:00:46 สุขภาพนะคะ Thai Heal Academy ค่ะ
00:00:46 → 00:00:48 podcast ในวันนี้เรามีชื่อว่าการฟังด้วย
00:00:48 → 00:00:52 หัวใจค่ะซึ่งเรานะคะจะเป็นการพูดคุยกับ
00:00:52 → 00:00:54 ศาสตราจารย์ดรนายแพทย์นันทวัฒน์
00:00:54 → 00:00:56 สิทธิรัตน์ค่ะนอกจากท่านนะคะจะเป็นผู้
00:00:57 → 00:00:59 อำนวยการสถาบันการเรียนรู้การสร้างเสริม
00:00:59 → 00:01:01 สุขภาพแล้วนะคะท่านยังเป็นจิตแพทย์ด้วยนะ
00:01:02 → 00:01:05 คะเราลองมาฟังค่ะว่าเทคนิคการดูแลนะคะ
00:01:05 → 00:01:09 แล้วก็การฟังด้วยหัวใจเนี่ยจะทำยังไงนะคะ
00:01:09 → 00:01:13 ก็อยากจะให้คุณหมอลองพูดนิดนึงค่ะมันมีคำ
00:01:13 → 00:01:16 ว่าการฟังด้วยหัวใจนะคะมันแตกต่างจากการ
00:01:16 → 00:01:19 ฟังทั่วๆไปยังไงบ้างคะอ่าหมอย้อนนิดนึง
00:01:19 → 00:01:22 ก่อนได้ยินกับฟังนี่ก็ต่างกันใช่มั้ยครับ
00:01:22 → 00:01:24 เราได้ยินอะไรเยอะแยะไปหมดเลยเนาะแต่ว่า
00:01:24 → 00:01:27 เวลาฟังเนี่ยมันต้องอาศัยความตั้งใจจนะ
00:01:27 → 00:01:31 ความใส่ใจในการฟังฟังนะมีคำว่าความตั้งใจ
00:01:31 → 00:01:34 ความใส่ใจอยู่ในนั้นด้วยนะการฟังด้วยหัว
00:01:35 → 00:01:37 ใจเนี่ยมันจะเป็นการฟังแบบแนวลึกลงไปอีก
00:01:37 → 00:01:40 ว่าเอ๊ะเราฟังแล้วเราได้ยินอะไรกันแน่
00:01:40 → 00:01:42 อะไรอย่าเงี้ยนะครับนะเลก็ฟังด้วยหัวใจ
00:01:42 → 00:01:45 คือฟังด้วยความตั้งใจเนาะในภาษาจิตวิทยา
00:01:45 → 00:01:48 จริงๆมีคนพูดไว้นานมากแล้วนะครับว่าการ
00:01:48 → 00:01:50 ฟังนี่คือการแสดงออกซึ่งความรัก Listening
00:01:50 → 00:01:54 มี love นะครับคือการที่เราจะฟังใครเมัน
00:01:54 → 00:01:57 ต้องอาศัยความใส่ใจความรักความเมตตาระดับ
00:01:57 → 00:02:00 หนึ่งนะครับนคือการฟังเมันเริ่มต้นจจาก
00:02:00 → 00:02:02 สิ่งเหล่านั้นคือถ้าฟังเป็นเนี่ยถ้าเรา
00:02:02 → 00:02:05 รักใครเนี่ยเราจะตั้งใจฟังเได้นานพอครับอ
00:02:05 → 00:02:08 แล้วในปัจจุบันจริงๆแล้วการฟังเนี่ยเรา
00:02:08 → 00:02:11 ฟังสักประมาณกี่นาทีคะคุณหอเรามันจัเป็น
00:02:11 → 00:02:13 นาทีได้มั้ยคะหรือจริงๆมันน้อยกว่านั้น
00:02:13 → 00:02:16 ต้องบอกเป็นวินาทีเราฟังกันค่อนข้างสั้น
00:02:16 → 00:02:18 มากนะครับนะเพราะว่าเดี๋ยวนี้ยิ่ง
00:02:18 → 00:02:21 ปัจจุบันโลกของอ่าโซเชียล Media อะไร
00:02:21 → 00:02:23 เงี้ยสังคมมันเปลี่ยนแปลงเร็ว information
00:02:23 → 00:02:26 มาเร็วมากนะการฟังกับการรับข้อมูลเข้ามา
00:02:26 → 00:02:28 เนี่ยมันจะไม่เหมือนกันซะทีเดียวนะครับ
00:02:28 → 00:02:32 ข้อมูลมาหลายทางมากนะการฟังนี้ก็เราก็ทำ
00:02:32 → 00:02:35 อะไรไปหลายๆอย่างขับรถเอยทำนู่นทำนี่เรา
00:02:35 → 00:02:37 ก็ฟังไปนั้นการฟังของเราเนี่ยที่ที่หมอ
00:02:37 → 00:02:40 ใช้คำว่าความใส่ใจความตั้งใจอ่ะมันจะได้
00:02:41 → 00:02:44 ไม่ค่อยเต็มเม็ดเต็มหน่วยนักครับอแปลว่า
00:02:44 → 00:02:47 เราขาดจุดนี้ไปขาดในเรื่องของความใส่ใจ
00:02:47 → 00:02:50 เพราะฉะนั้นเนี่ยถ้าเราจะเริ่มค่อยๆเรียน
00:02:50 → 00:02:52 รู้แล้วกันนะคะ steep by step การฟัง
00:02:52 → 00:02:54 นี่มันเริ่มยังไงบ้างอ่ะ
00:02:54 → 00:02:58 ค่ะก็ประเด็นแรกก็อาจจะต้องดูที่มาที่ไป
00:02:58 → 00:03:00 ก่อนว่าเออเกิดอะไรขึ้นทำไมคนคนนี้อยากจะ
00:03:00 → 00:03:03 มาคุยกับเราหรือทำไมเราอยากทำไมเอยากมา
00:03:03 → 00:03:06 พูดกับเราทำไมเอยากมาคุยกับเรามันมีต้น
00:03:06 → 00:03:09 ทุนบางอย่างมาก่อนแล้วมีบริบทมีที่มาที่
00:03:09 → 00:03:13 ไปนะครับนะซึ่งเอ๊ะเราเข้าใจตรงนั้นหรือ
00:03:13 → 00:03:15 เปล่าว่าทำไมอยู่ดีๆเเเปิดประเด็นหรือเขา
00:03:15 → 00:03:18 อยากจะคุยกับเรามีอะไรที่มาที่ไปนะครับนะ
00:03:18 → 00:03:21 ถึงจะค่อยๆฟังเข้าไปในเนื้อหาจริงๆแล้ว
00:03:21 → 00:03:24 เนี่ยถ้าฟังแบบจิตแพทย์เเราจะฟังทั้งสิ่ง
00:03:24 → 00:03:26 ที่เขาไม่ได้พูดและฟังที่สิ่งที่เขาเล่า
00:03:26 → 00:03:29 ด้วยนะครับคือคำว่าฟังในสิ่งที่ไม่ได้พูด
00:03:29 → 00:03:33 นี่ก็คือใส่ใจบริบทต่างๆนะจังหวะเวลาทำไม
00:03:33 → 00:03:35 เมาคุยกับเราอะไรอย่างเงี้ยนะครับแล้วมี
00:03:35 → 00:03:38 หลายๆปัจจัยนะครับแล้วที่อาจจะต้องฟังคือ
00:03:38 → 00:03:41 ฟังเสียงที่ไม่ได้ยินด้วยแล้วก็เวลาฟัง
00:03:41 → 00:03:43 จริงๆแล้วต้องตั้งใจฟังด้วยครับถึงจะ
00:03:43 → 00:03:47 ประกอบกันถึงจะเข้าใจคนๆนั้นได้อย่างลึก
00:03:47 → 00:03:49 ซึ้งครับงั้นส่วนแรกเนี่ยเรียกว่าเราต้อง
00:03:49 → 00:03:52 รู้บริบทก่อนว่าเคมาเหมือนเขาอยากพูดอะไร
00:03:52 → 00:03:55 กับเราใช่มั้ยคะแต่ถ้าเราเหมือนตั้งกำแพง
00:03:55 → 00:03:56 อ่ะเดี๋ยวเนี้ยเราชอบประสบการณ์ตัดสิน
00:03:56 → 00:04:00 เนาะว่าแบบอืน่าจะไม่ไม่เวิคแล้วคนนี้
00:04:00 → 00:04:04 เอ้ยไม่อยากฟังเเลยเราจะทำยังไงดีคะพอฟัง
00:04:04 → 00:04:07 ในการสื่อสารมันจะฟังแล้วเราจะรีบตอบนะ
00:04:07 → 00:04:09 คือเราอาจจะยังไม่ได้คือมันก็มีการฟังแบบ
00:04:09 → 00:04:13 นั้นจริงๆคือฟังแบบเราไปซื้อของเราถามทาง
00:04:13 → 00:04:15 คนอย่างเงี้ยเราก็ไม่ต้องฟังอย่างลึกซึ้ง
00:04:15 → 00:04:17 ก็ได้นะครับนะแล้วฟังอย่างลึกซึ้งเี่เป็น
00:04:18 → 00:04:20 การฟังเพื่อเข้าอกเข้าใจสร้างความ
00:04:20 → 00:04:23 สัมพันธ์นะครับนะเห็นอกเห็นใจต้องอาศัย
00:04:23 → 00:04:26 ความตั้งใจความใส่ใจในการฟังนะแต่ว่าโอเค
00:04:26 → 00:04:29 ละเราถามทางเราอาจจะไม่ต้องฟังอย่างลึก
00:04:29 → 00:04:32 ซึ้งมากก็ได้แค่ถามตอบก็ฟังฟังอีกแบบนึง
00:04:32 → 00:04:34 ไม่ต้องสนใจบริบทไม่ต้องสนใจที่มาที่ไป
00:04:34 → 00:04:37 มากนักนะแต่ว่าถ้าเรายังฟังฟังอย่างลึก
00:04:37 → 00:04:41 ซึ้งเนี่ยมันจะเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นเขาคิด
00:04:41 → 00:04:43 อะไรทำไมเขาพูดอย่างงนี้ทำไมเขาถามอย่างง
00:04:43 → 00:04:46 นี้ทำไมเขาเล่าสิ่งนี้ขึ้นมาอย่างเงี้ย
00:04:46 → 00:04:49 ครับองั้นแปลว่าเมื่อกี้เราฟังด้วยบริบท
00:04:49 → 00:04:51 แล้วนะคะแล้วก็เราฟังด้วยอย่างตั้งใจละ
00:04:51 → 00:04:54 ที่สำคัญเราก็ต้องอีกอันนึงคือต้องมอง
00:04:54 → 00:04:57 เหมือนกริยายคะสิ่งที่เขาไม่ได้พูดครับ
00:04:57 → 00:05:00 บางทีเราอาจจะเหมือนเค้าอะไรอ่ะพูดแต่มี
00:05:00 → 00:05:03 อาการยิ้มแย้มเนพูดงแต่จริงๆลึกๆนอาจจะมี
00:05:03 → 00:05:06 อะไรอยู่ข้างในในทักษะการฟังอย่างเงี้ย
00:05:06 → 00:05:08 หรือทักษะการสังเกตอย่างเงี้ยเรียกความ
00:05:08 → 00:05:11 สามารถในการ sensitive ความรู้สึกรู้สา
00:05:11 → 00:05:13 พูดภาษาไทยเงี้ยนะะครับนะมันเป็นทักษะแบบ
00:05:13 → 00:05:17 นึงเราค่อยๆสังเกตได้คือคนบางคนเนี่ยเห็น
00:05:17 → 00:05:20 ปุ๊บก็จะเห็นว่าเอ๊ะใครมายังไงมันเป็น
00:05:20 → 00:05:23 ทักษะในการสังเกตจริค่อยๆฝึกเนี่ยมันก็จะ
00:05:23 → 00:05:25 ค่อยๆละเมียดขึ้นใช้คำว่าละเมียดก็ได้นะ
00:05:25 → 00:05:28 ครับนะสังเกตบริบทสังเกตสิ่งที่เราเห็น
00:05:28 → 00:05:30 อะไรเงี้ยครับการที่เราสังเกตได้ดีเนี่ย
00:05:30 → 00:05:33 ทำให้เรามีต้นทุนแล้วก็มีข้อมูลเบื้องต้น
00:05:33 → 00:05:36 เนี่ยค่อนข้างเยอะแล้วก็ตรงประเด็นนะแล้ว
00:05:37 → 00:05:40 ยิ่งตามมาด้วยการสนทนาหรือการฟังนะภาษา
00:05:40 → 00:05:42 ไทยเรียกการสนทนาหรือภาษาอังกฤเรียก
00:05:42 → 00:05:45 dialog นะครับมันจะเป็นการสื่อสาร 2 ทาง
00:05:45 → 00:05:48 นะครับมันจะยิ่งทำให้การสื่อสารเนี่ยคม
00:05:48 → 00:05:50 ตรงประเด็นสิ่งที่เราเก็บข้อมูลสิ่งที่
00:05:50 → 00:05:53 เราสังเกตมาเนี่ยมันเป็นข้อมูลด้านเดียว
00:05:53 → 00:05:56 ที่เราสังเกตนะครับนะมันจะมีความเสี่ยง
00:05:56 → 00:05:58 ต่อการใช้ประสบการณ์เก่าของเราเนี่ยเข้า
00:05:58 → 00:06:01 ไปในการอสิตีความแต่พอเราได้การสนทนา
00:06:01 → 00:06:04 เนี่ยมันจะได้ข้อมูล 2 ฝ่ายเนี่ยสิ่ง
00:06:04 → 00:06:06 เหล่าเนี้ยมันจะทำให้การสนทนาหรือการเข้า
00:06:06 → 00:06:09 ใจเนี่ยข่มขึ้นตรงประเด็นขึ้นครับค่ะงั้น
00:06:09 → 00:06:11 อยากให้คุณหมอลองลองช่วยเอาที่เรื่องใกล้
00:06:11 → 00:06:14 ๆตัวก่อนแล้วกันนะคะสมมุติเราคุยกับที่
00:06:14 → 00:06:18 บ้านเราแล้วกันเนอะอ่าคุยกับคุณพ่อคุณแม่
00:06:18 → 00:06:21 เราจะใช้การฟังอย่างตั้งใจเนี่ยเริ่ม
00:06:21 → 00:06:23 บริบทยังไงเพราะ 1 เนาะเราก็ไม่ความรู้
00:06:23 → 00:06:26 สึกว่าด้วยอายุที่เราห่างกันบางทีบาง
00:06:26 → 00:06:28 เรื่องที่เขาเล่ามันก็อาจจะไม่ใช่เรื่อง
00:06:28 → 00:06:32 ที่เราสนใจนะตอนนั้นเลยอะไรอย่างเงี้ยคุย
00:06:32 → 00:06:34 กับคนใกล้ตัวหรือคนที่เราสนิทเนี่ยก็มี
00:06:34 → 00:06:36 ข้อจำกัดอยู่นะครับเพราะเรามีประสบการณ์
00:06:37 → 00:06:39 ร่วมกับเมานานปุ๊บเราก็จะมีแนวโน้มจะเอา
00:06:39 → 00:06:42 ประสบการณ์ในอดีตที่เรามีความฝังใจความ
00:06:42 → 00:06:45 ประทับใจข้อมูลที่เราเคยเก็บไว้เนี่ยมัน
00:06:45 → 00:06:48 ยังอยู่ในความจำของมนุษย์เนาะเราพอเขาพูด
00:06:48 → 00:06:51 เนี่ยปุ๊บเนี่ยบางครั้งเนี่ยข้อมูลเหล่า
00:06:51 → 00:06:55 เนี้ยมันเทเข้ามาด้วยนะสิ่งที่เขาพูดกับ
00:06:55 → 00:06:57 สิ่งที่เราได้ยินเนี่ยเราได้ยินคำพูดล่ะ
00:06:57 → 00:07:00 แต่เรามีประสบการณ์เก่าที่เราสั่งสมมานะ
00:07:00 → 00:07:04 เช่นอาจจะรู้สึกรำคาญว่าคุณแม่จู้จี้ชอบ
00:07:04 → 00:07:07 ถามซ้ำชอบเตือนอะไรอย่างงี้เราใช้
00:07:07 → 00:07:09 ประสบการณ์เก่าเราก็หงุดหงิดและอาจจะไม่
00:07:09 → 00:07:12 ทันได้ได้ฟังว่าจริงๆแล้วเกิดอะไรขึ้นกัน
00:07:13 → 00:07:16 แน่นะครับต้องังกับคนใกล้ชิดนี่ก็มีข้อดี
00:07:16 → 00:07:18 คือเราก็รู้กันมานานแต่ข้อเสียคือเรามัก
00:07:18 → 00:07:21 จะอัตโนมัติคือเอาบริบทเก่าเี่มาตัดสินเ
00:07:21 → 00:07:24 เลยครับอ่าหรือบางทีอย่างเงี้ยค่ะเหมือน
00:07:24 → 00:07:27 เราบ่นเนอะว่าอเอ้ยกลับบ้านไปเราเหนื่อยๆ
00:07:27 → 00:07:30 อะไรอย่างเงี้ยเราก็มักจะโดนแบบเออทำไม
00:07:30 → 00:07:32 แค่นี้เหนื่อยทำไมไม่ตั้งใจอะไรอย่าง
00:07:32 → 00:07:37 เงี้ยนะคะอคือถ้าฟังเผินๆเนี่ยคือเค้ากา
00:07:37 → 00:07:40 จะเค้าก็ไม่อาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมเราถึง
00:07:40 → 00:07:42 บ่นว่าเราเหนื่อยอะไรอย่างเงี้ยนะครับเรา
00:07:42 → 00:07:46 ต้องการคนฟังเราเราบ่นเราต้องการคนรับฟัง
00:07:46 → 00:07:49 นะแต่ว่าคนเป็นพ่อแม่เนี่ยบางครั้งก็จะ
00:07:49 → 00:07:52 ชอบสอนนะชอบสอนคือเเป็นการให้กำลังใจว่า
00:07:52 → 00:07:55 เออดูสิคนอื่นก็ทำงานหนักกว่าเราอีกเยัง
00:07:55 → 00:07:58 ไม่เหนื่อยแล้วเยังอดทนเลยอะไรเงี้ยคนฟัง
00:07:58 → 00:08:00 เนี่ยบางครั้งที่รู้สึกเหมือนโดนตำหนินะ
00:08:00 → 00:08:04 ว่าอ้าวทำไมไปเทียบเรากับคนอื่นก็เราก็
00:08:04 → 00:08:06 เป็นของเราแบบนี้เราก็เหนื่อยอะไรอย่า
00:08:06 → 00:08:08 เงี้ยครับแต่จริงๆแล้วเนี่ยเวลาคนมาเล่า
00:08:08 → 00:08:10 ที่ผมที่หมอเล่าให้สาวฟังว่าเวลาคนเรามา
00:08:11 → 00:08:13 เปยอะไรหรือมาพูดอะไรเนี่ยมันมีความรู้
00:08:13 → 00:08:16 สึกมีความต้องการลึกๆซ่อนอยู่ในนั้นเนา
00:08:16 → 00:08:19 ต้องการแค่ให้เขารับฟังก็ได้ต้องการความ
00:08:19 → 00:08:21 เห็นอกเห็นใจหน่อยก็ได้อะไรต้องการกำลัง
00:08:21 → 00:08:24 ใจเนาแต่ว่าคนฟังบางครั้งไม่ทราบก็
00:08:24 → 00:08:26 ต้องการว่าเราต้องการคำแนะนำเหรอเรา
00:08:26 → 00:08:30 ต้องการอะไรหรือเปล่าเก็จะบริบทเคุ้นเคย
00:08:30 → 00:08:32 ก็จะตอบมาแบบนั้นครับอือถ้าอย่างงี้ถ้า
00:08:32 → 00:08:36 แนะนำทั้ง 2 ด้านนะคะในแง่ของทางเราเงี้ย
00:08:36 → 00:08:39 ค่ะเราควรจะมีปฏิกิริยาหรือควรจะทำยังไง
00:08:39 → 00:08:42 ถ้าเวลาเราเนี่ยเราเปลยไปละเราบ่นไปละ
00:08:42 → 00:08:44 แล้วอ่าคุณพ่อคุณแม่ว่าอย่างงั้นอันดับ
00:08:44 → 00:08:47 แรกเวลาในการสนทนาเนี่ยอันดับแรกที่ทำยาก
00:08:47 → 00:08:50 มากสุดคือให้ฟังไปก่อนครับอย่าเพิ่งรีบ
00:08:50 → 00:08:54 ตอบอย่าเพิ่งรีบมีปฏิกิริยาอย่าเพิ่งรีบ
00:08:54 → 00:08:57 นำเสนออะไรไปก่อนฟังสักนิดนึงก่อนว่าเอ๊ะ
00:08:57 → 00:09:01 เคพูดอะไรเคเกำลังจะบอกอะไรเรานะครับนะ
00:09:01 → 00:09:04 คือฟังแล้วเหมือนตามน้ำไปก่อนคำว่าตามน้ำ
00:09:04 → 00:09:08 เช่นพยักหน้าเราได้ยินนะมีเสียงคับเสียง
00:09:08 → 00:09:10 ขะเล็กน้อยว่าเราฟังอยู่นะหรืออะไรอย่าง
00:09:10 → 00:09:13 เงี้ยครับแล้วก็บางครั้งคนเขก็ดูเอ๊ะเรา
00:09:13 → 00:09:16 ฟังอยู่ไม่ฟังอยู่นะถ้าเราจะมีปฏิกิริยา
00:09:16 → 00:09:19 อะไรออกไปตอนแรกๆควรเป็นปฏิกิริยาที่ชวน
00:09:19 → 00:09:22 ให้เขาเล่าต่อนะอ
00:09:22 → 00:09:26 เช่นบางคนก็ใช้เทคนิคว่าย้อนข้อความที่เ
00:09:26 → 00:09:28 เพิ่งเล่าเล็กน้อยว่าอ๋อสาเล่าว่าสา
00:09:28 → 00:09:32 เหนื่อยอ่าใช่มั้ยครับสาทำอะไรมาย้อนย้อน
00:09:32 → 00:09:34 ก่อนนิดหน่อยย้อนข้อความเล็กน้อยออะไร
00:09:34 → 00:09:36 อย่างเงี้ยครับแล้วทำให้คนฟังรู้สึกว่า
00:09:36 → 00:09:39 เอ๊ะคลื่นมันตรงกันอยู่ว่าเอ๊คู่สนทนาเรา
00:09:39 → 00:09:42 ได้ยินสิ่งที่เราเล่านะครับนะอย่าเพิ่ง
00:09:42 → 00:09:44 ใส่ไอเดียอย่าเพิ่งแนะนำอะไรเข้าไปก่อนนะ
00:09:44 → 00:09:48 ครับถามให้เได้เล่าให้เขาคได้พูดนะครับนะ
00:09:48 → 00:09:50 คนเราก็รู้สึกว่ามีอีกคนนึงฟังอยู่เนี่ย
00:09:50 → 00:09:52 มันความรู้สึกมันอยากจะเล่ามากขึ้นนะครับ
00:09:52 → 00:09:55 ออืแล้วถ้าเกิดสมมุติว่าอ่ะเราอาจจะไม่
00:09:55 → 00:09:58 ได้มีปฏิกิริยาเลยไม่ได้ย้อนแล้วเราถ้า
00:09:58 → 00:10:02 เงียบไปเนี่ยเขาจะรู้สึกมคะว่าเราฟังอยู่
00:10:02 → 00:10:04 การเงียบเป็นการสื่อสารแบบหนึ่งนะครับนะ
00:10:05 → 00:10:07 เช่นว่าเงียบมันแล้วแต่บริบทมนตรีได้หลาย
00:10:08 → 00:10:10 ทางคำว่าเงียบอาจแปลว่าาไม่ตั้งใจฟังก็
00:10:10 → 00:10:12 ได้คือาสนใจเรื่องสาเลยไม่ตอบสนองหมอก็
00:10:12 → 00:10:15 ได้นะหรือเงียบนี่คือาพยายามตั้งใจฟัง
00:10:15 → 00:10:19 อยู่ว่าเออจะเกิดอะไรขึ้นหมอจะเล่าอะไร
00:10:19 → 00:10:22 ต่อคามเงียบแปลว่าความตั้งใจก็ได้นะครับ
00:10:22 → 00:10:25 นะหรือใส่ใจหรือว่าให้เวลาหมอทบทวนาก็เลย
00:10:25 → 00:10:28 บอกอ่ะคุณหมอพูดไม่จบาเลยเงียบรอก่อนนี่
00:10:28 → 00:10:30 ความเงียบคือคือการสื่อสารแบบนึงด้วยนะ
00:10:31 → 00:10:33 ครับจริงๆแล้วการไม่ใช้เสียงเป็นความ
00:10:33 → 00:10:36 เงียบนับเป็นการสื่อแบบนึงครับอืถ้าจะให้
00:10:36 → 00:10:39 เป็นเนี่ยเป็นการสื่อที่มีพลังด้วยครับ
00:10:39 → 00:10:42 แต่มันไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้ใส่ใจเ
00:10:42 → 00:10:44 ใช่มั้ยคะ่มันก็อาจจะต้องมีปฏิกิริยาใน
00:10:44 → 00:10:48 เรื่องของสายตาท่าทางเข้ามาร่วมประกอบใน
00:10:48 → 00:10:51 เรื่องของการฟังทั้งหมดใช่มั้ยคะใช่อแล้ว
00:10:51 → 00:10:53 อย่างเงี้ยพอเรามาปรับใช้ในส่วนของอ่ะ
00:10:53 → 00:10:56 เรื่องส่วนตัวละกับครอบครัวละคุณหมอคิด
00:10:56 → 00:10:58 ว่าการฟังพวกเนี้ยค่ะเรามาปรับในส่วนของ
00:10:58 → 00:11:01 การทำงานได้ยังไงบ้างอ่ะคะที่จริงๆมนุษย์
00:11:01 → 00:11:03 เราเป็นสัตว์ที่เราสื่อสารตลอดวันนะครับ
00:11:03 → 00:11:06 นะจริงๆแล้วเราสื่อสารเพื่อต้องการอะไร
00:11:06 → 00:11:09 บางอย่างเพื่อให้เกิดผลอะไรบางอย่างนะ
00:11:09 → 00:11:12 แล้วก็สื่อสารกับใกล้ชิดที่สุดก็สื่อสาร
00:11:12 → 00:11:14 กับคนรอบตัวเรานะบางครั้งเราสื่อสารกับ
00:11:14 → 00:11:17 ตัวเราเองด้วยนะก็เราจะสคนที่ใกล้ตัวเรา
00:11:17 → 00:11:20 ก่อนที่บ้านนะตื่นเช้ามาปุ๊บๆชีวิตประจำ
00:11:20 → 00:11:23 วันเราก็มาที่ทำงานเพื่อนร่วมงานลูกค้า
00:11:23 → 00:11:26 เราผู้มารับบริการอะไรเงี้ยนะครับหรือว่า
00:11:26 → 00:11:30 ถ้าเราอยู่ในชุมชนสังคมที่เราไปเที่ยวไป
00:11:30 → 00:11:33 นอกทางไปแล้วก็ต้องมีการสื่อสารสนทนา
00:11:33 → 00:11:37 เพื่อถามเพื่อบอกความต้องการถามความสงสัย
00:11:37 → 00:11:41 ของเรานะการสื่อสารมันอยู่รอบตัวเราเสมอ
00:11:41 → 00:11:43 มันมันอยู่ใกล้จเราคิดว่ามันเป็นเรื่อง
00:11:43 → 00:11:45 ที่ง่ายแต่ถ้าถามหมอจริงๆเรื่องการสื่อ
00:11:45 → 00:11:48 สารเนี่ยเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยนะครับ
00:11:48 → 00:11:53 เราต้องอาศัยการฟังการอ่าการฝึกนะครับนะ
00:11:53 → 00:11:56 การอดทนที่จะฟังนะครับนะแล้วก็รู้จังหวะ
00:11:56 → 00:11:58 รู้เวลานะครับแต่เป็นเครื่องมือที่มี
00:11:58 → 00:12:00 ประโยชน์มากของมนุษย์นะครับนะเพราะว่า
00:12:00 → 00:12:03 สัตว์ชนิดอื่นพูดไม่ได้นะมีแต่มนุษย์เท่า
00:12:03 → 00:12:06 นั้นที่สามารถสื่อสารได้แล้วการสื่อสารเ
00:12:06 → 00:12:09 ทำให้เกิดพลังไม่ว่าการพลังในการเห็นอก
00:12:09 → 00:12:12 เห็นใจพลังในการร่วมไม้ร่วมมือทำให้เรา
00:12:12 → 00:12:15 ได้สิ่งที่เราต้องการทำให้ชุมชนหรือสังคม
00:12:15 → 00:12:18 เนี่ยไปในทิศทางเดียวกันหรือเห็นอกเห็นใจ
00:12:18 → 00:12:22 ร่วมไม้ร่วมมือกันได้อาศัยการสื่อสารการ
00:12:22 → 00:12:24 พูดทั้งสิ้นครับงั้นแปลว่าการฟังนี้ก็คือ
00:12:24 → 00:12:27 เครื่องมือสำคัญของของมนุษย์ของเราอ่ะนะ
00:12:27 → 00:12:29 คะเพราะฉะนั้นอยากกลับไปนิดนึงค่ะว่าการ
00:12:29 → 00:12:32 ฟังอย่างที่เคยได้ยินคุณหมอนะบอกว่าการ
00:12:32 → 00:12:34 ฟังมันมีหลายสเต็ปด้วยกันจริงๆการฟัง
00:12:34 → 00:12:37 เนี่ยถ้าเราแบ่งเรื่องสเต็ปอ่ะค่ะจนไปถึง
00:12:37 → 00:12:39 การฟังด้วยหัวใจเนี่ยมันสามารถแบ่งได้ได้
00:12:39 → 00:12:42 กี่สเต็ปบ้างอ่ะค่ะอออันนี้ก็มีหลายๆ
00:12:42 → 00:12:45 ทฤษฎีนะครับมีทฤษฎีอันนึงที่เพูดไว้ค่อน
00:12:45 → 00:12:48 ข้างเห็นเป็นรูปธรรมค่อนข้างง่ายก็เน
00:12:48 → 00:12:51 เรื่องการพูดการฟังกันเลยนะครับนะที่แต่
00:12:51 → 00:12:54 ผมบอกว่าก่อนจะไปถึงทฤษฎีมันต้องย้อนว่า
00:12:54 → 00:12:58 มีที่มาที่ไปมีบริบทมีเรื่องความสัมพันธ์
00:12:58 → 00:13:01 มีเรื่องว่าเอ๊ะทำไมเเล่าสิ่งนี้ทำไมเไม่
00:13:01 → 00:13:03 เล่าสิ่งนั้นทำไมเถึงปิดสิ่งนี้เอาไว้
00:13:03 → 00:13:06 อะไรอย่างเงี้ยนะครับนะแต่พอมาถึงในการ
00:13:06 → 00:13:08 ฟังเนี่ยนะตามทฤษฎีเเรียก theory you
00:13:08 → 00:13:11 เนี่ยอันแรกเนี่ยคนเรามักจะฟังเเรียกว่า I
00:13:11 → 00:13:14 in me ก็คือว่าเอาตัวเราเนี่ยเป็นตัว
00:13:14 → 00:13:16 ตั้งคือพูดอะไรก็เอาประสบการณ์เราเนี่ย
00:13:16 → 00:13:19 เก่าเราเนี่ยมาเทใส่เลยทันทีเราก็จะตัด
00:13:19 → 00:13:22 สินทันทีเพราะว่าเรานั้นมีทุกคนน่ะครับ
00:13:22 → 00:13:24 มนุษย์ทุกคนเนี่ยมีประสบการณ์มีต้นทุนนะ
00:13:25 → 00:13:27 ซึ่งไม่ผิดอะไรเลยนะหมอไม่อยากใช้คำว่า
00:13:27 → 00:13:30 อคติแต่เป็นการประสบการณ์การสั่งสมเดิม
00:13:30 → 00:13:32 ประสบการณ์เดแล้วเราต้องตอบสนองด้วย
00:13:32 → 00:13:35 อัตโนมัตินะครับซึ่งไม่ผิดอีกนะเราก็ต้อง
00:13:35 → 00:13:38 มีการรู้สึกคิดตัดสินสั่งสมมาแต่ว่าการ
00:13:38 → 00:13:41 ฟังแบบนี้มันจะต้องเป็นอะไรที่ตื้นเพราะ
00:13:41 → 00:13:44 เราจะไม่ได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายนึงลึกซึ้ง
00:13:44 → 00:13:46 นักก็ได้แข่ข้อความแล้วก็เอาประสบการณ์
00:13:46 → 00:13:49 เราเนี่ยตัดสินตัดสินแล้วก็แนะนำสั่งสอน
00:13:49 → 00:13:52 ให้คำตอบไปเลยอย่างเงี้ยครับก็เป็นการฟัง
00:13:52 → 00:13:55 ขั้นขั้นแรกๆซึ่งไม่ผิดนะครับแต่ว่าการ
00:13:55 → 00:13:58 ฟังเนี้ยมันจะไม่ลึกนักครับแปลว่าอย่าง
00:13:58 → 00:14:01 เงี้ยมันเหมือนเรารีบจนเกินไปเราไม่ได้
00:14:01 → 00:14:04 พิจารณาอะไรเลยแล้วถ้าเรารีบต่อไปมันจะ
00:14:04 → 00:14:07 เหมือนกันเราไปเถียงมยคะอ่าเถียงนี่คือ
00:14:07 → 00:14:09 เริ่มแสดงความเห็นแล้วครับคือต่างคนต้อง
00:14:10 → 00:14:14 มีจุดยืนนะที่แตกต่างกันจะเกิดการเถียง
00:14:14 → 00:14:16 กันได้นะครับสนทนากับเถียงนี่ไม่เหมือน
00:14:16 → 00:14:19 กันใช่มั้ยสนทนาคือการการแลกเปลี่ยนนะถือ
00:14:19 → 00:14:21 ความคิดอย่างงั้นเคคิดอย่างงั้นเรู้สึก
00:14:21 → 00:14:23 อย่างงี้แต่เถียงเมันมักจะเป็นการที่เรา
00:14:23 → 00:14:26 เริ่มมีจุดยืนแล้วเราเริ่มยืนยันว่าสิ่ง
00:14:26 → 00:14:29 นี้ถูกสิ่งอื่นไม่ใช่อะไรอย่าเงี้ยครับ
00:14:29 → 00:14:31 เริ่มมองประสบการณ์ของตัวเราเป็นหลักใช่
00:14:31 → 00:14:34 คะเมื่อกี้คุณหมอบอกขั้นแรกละนะคะแล้วตัว
00:14:34 → 00:14:38 ขั้นที่ 2 อ่ะค่ะฟังลงไปเนี่ยเเรียกว่า
00:14:38 → 00:14:41 เริ่มฟังในสิ่งที่อีกคนนึงพูดเนาะอ่าไ in
00:14:41 → 00:14:44 it นะเเรียกว่าคือเริ่มฟังว่าข้อความที่
00:14:44 → 00:14:46 เขาพูดอ่ะเขาพูดอะไรแล้วเริ่มใส่ใจข้อ
00:14:46 → 00:14:50 ความเนื้อหาแความสิ่งที่เขาพูดอ่ะเขาพูด
00:14:50 → 00:14:53 อะไรออกมานะครับก็จะได้อีกระดับหนึ่งก็
00:14:53 → 00:14:55 เริ่มใส่ของเดิมคือเอาของเราเทเข้ามาเลย
00:14:55 → 00:14:58 เนาะตัดสินเข้ามาเลยอีกสเต็ปนึงคือเริ่ม
00:14:58 → 00:15:01 ฟังอีกฝ่ายนึงแต่ฟังข้อความฟังฟังเนื้อ
00:15:01 → 00:15:05 ความฟังประโยคฟังบริฟังสิ่งเหล่าเให้
00:15:05 → 00:15:07 เริ่มเข้าใจมันก็จะเป็นความข้อเท็จจริง
00:15:07 → 00:15:10 พูดง่ายๆคือฟังข้อเท็จจริงค่ะงั้นแปลว่า
00:15:10 → 00:15:12 อันแรกเนี่ยก็คืออิมีตัวเรานี่แหละเป็น
00:15:12 → 00:15:15 ประสบการณ์เป็นตัวตั้งตัวตีอย่างอันแรก
00:15:15 → 00:15:18 เลยพออันที่ 2 เนี่ยเป็นออ it ละเราเริ่ม
00:15:18 → 00:15:22 มองใส่ใจในสิ่งที่บริบทที่เขาพูดมาอ่าว่า
00:15:22 → 00:15:25 เาพูดอะไรสมมุติวันนี้พูดเรื่องอาหารก็แ
00:15:25 → 00:15:27 อาจจะเริ่มมาใส่ใจสุขภาพหรืออ่าวันนี้พูด
00:15:27 → 00:15:30 เรื่องรถติดใช่
00:15:30 → 00:15:35 อแล้วสวนที่ 3 ค่ะเอส่วนที่ 3 เจะเริ่ม
00:15:35 → 00:15:39 ถึงฟังถึงความรู้สึกนะที่มาที่ไปว่าเอ๊ะ
00:15:39 → 00:15:42 สิ่งที่เขาพูดเนี่ยเขารู้สึกยังไงเคิดยัง
00:15:42 → 00:15:45 ไงเขาพูดอะไรถึงเขาเรู้สึกไงถึงเขาเล่า
00:15:45 → 00:15:47 สิ่งเหล่านี้ออกมานะครับมันจะเป็นความฟัง
00:15:47 → 00:15:50 ที่ลึกลงไปนะมันจะมีว่าอันแรกคือเอาใสใส่
00:15:50 → 00:15:52 ของเราเข้าไปเลยอันที่ 2 คือเริ่มฟัง
00:15:52 → 00:15:56 เนื้อความอันที่ 3 คือฟังตัวคนนั้นน่ะมาก
00:15:56 → 00:15:59 ขึ้น in you ไ in you คือไปเรื่มเข้าใจ
00:15:59 → 00:16:01 ว่าเอ๊ทำไมเ้าเล่าสิ่งนี้เ้ารู้สึกยังไง
00:16:01 → 00:16:04 เ้าคิดยังไงอะไรอย่างเงี้ยครับนะมันจะ
00:16:04 → 00:16:08 ค่อยๆได้ได้ยินมากขึ้นมากขึ้นคุณหมอพอจะ
00:16:08 → 00:16:10 ยกตัวอย่างอย่าง I in you ได้มยคะว่า
00:16:10 → 00:16:13 มันน่าจะเป็นอะไรเวลาที่เราแบบเออฟังแล้ว
00:16:13 → 00:16:17 มันเริ่มเข้าใจตัวเขึ้นไ in you แล้วฟัง
00:16:17 → 00:16:19 แล้วมันจะเกิดความรู้สึกเหมือนเห็นอกเห็น
00:16:19 → 00:16:22 ใจเข้าใจตามอครับว่าอ้อสาเล่าเรื่องว่า
00:16:22 → 00:16:25 เออเล่าเรื่องให้คุณแม่ฟังแล้วคุณแม่ก็
00:16:25 → 00:16:27 สอนเลยอย่างเงี้ยกตัวอย่างหอก็จะเข้าใจ
00:16:27 → 00:16:31 ว่าสาคงอาจจะรู้สึกอึดอาจสาคงรู้สึกแบบ
00:16:31 → 00:16:34 น้อยใจสังเสียใจที่คุณแม่ไม่ฟังอะไรเงี้ย
00:16:34 → 00:16:37 ครับออสามารถเข้าไปนั่งในใจสาได้ระดับ
00:16:37 → 00:16:40 หนึ่งครับไินอยู่มันจะเริ่มเข้าไปในตัว
00:16:40 → 00:16:43 แล้วออทำไมสารู้สึกอย่างงั้นทำไมสามาเล่า
00:16:43 → 00:16:46 เรื่องนี้ให้หมอฟังอะไรอย่างเงี้ยครับ
00:16:46 → 00:16:48 แล้วส่วนที่ 4 อ่ะคะวันนี้เรามีในส่วนของ
00:16:48 → 00:16:52 I in me เนอะ I in it I in you
00:16:52 → 00:16:54 ส่วนที่ 4 เจะเป็นอะไรดีคะมันก็ต้องถอยมา
00:16:54 → 00:16:57 ก่อนว่าพอเราเริ่มฟังแล้วเข้าใจเนื้อความ
00:16:57 → 00:17:00 นะครับไออิเนาะไ in you เข้าใจความรู้
00:17:00 → 00:17:03 สึกเข้าใจความต้องการนะครับนะขั้นถัดไป
00:17:03 → 00:17:05 เนี่ยเเรียกไ in now คือจะรู้ว่าในความ
00:17:05 → 00:17:09 ทำไมที่ในความรู้สึกและความต้องการหรือ
00:17:09 → 00:17:12 สิ่งที่สาเล่าเนี่ยมันมีบางอย่างอยู่ใน
00:17:12 → 00:17:16 ลึกกว่านั้นเช่น need ของสาเนาะความอ่า
00:17:16 → 00:17:19 คุณค่าสิ่งที่หาให้ความหมายความสำคัญคือ
00:17:19 → 00:17:21 อารมณ์มันเป็นผลของความต้องการบางอย่าง
00:17:21 → 00:17:24 หรือ need บางอย่างเนี่ยไม่ได้รับการตอบ
00:17:24 → 00:17:27 สนองหรือตอบสนองก็ได้นะครับนะเราสามารถ
00:17:27 → 00:17:30 เข้าใจว่าลึกๆเนี่ยสาต้องการอะไรสาให้
00:17:30 → 00:17:33 ความสำคัญกับอะไรเนี่ยฟังชันเยไ in ก็จะ
00:17:33 → 00:17:36 พูดภาษาใหม่ก็เรียกเหมือน generative AI
00:17:36 → 00:17:40 นะครับนะมันก็สามารถเข้าใจได้ว่าเออถ้า
00:17:40 → 00:17:43 อยากพาไปสิ่งที่สาต้องการเนี่ยสาต้องการ
00:17:43 → 00:17:46 อะไรกันแน่หมอก็จะตอบถูกว่าลึกๆแล้วสา
00:17:46 → 00:17:49 ต้องการอะไรสาอยากได้อะไรแล้วเราจะช่วย
00:17:49 → 00:17:52 กันไปถึงจุดนั้นได้ยังไงเเรียก generative
00:17:52 → 00:17:54 Listening นะครับเป็นการฟังที่ทำให้เกิด
00:17:54 → 00:17:58 การก้าวข้ามการนำไปสู่สฤทธิ์เ่อสัมฤทธิ
00:17:58 → 00:18:01 ที่ที่ผลการนำไปสู่ความต้องการลึกๆของของ
00:18:01 → 00:18:04 สาได้มันจะไม่ใช่แค่เนื้อความไม่ใช่แค่
00:18:04 → 00:18:07 ความรู้สึกว่ามันเป็นนลึกๆที่ซ่อนอยู่
00:18:07 → 00:18:10 ข้างล่างเป็นเรื่องคุณค่าเป็นเรื่องความ
00:18:10 → 00:18:13 หมายความสำคัญที่หาว่าทำไมทำให้สาเดือด
00:18:13 → 00:18:15 ร้อนในสิ่งเหล่านี้หรือทำไมสารู้สึกดีกับ
00:18:15 → 00:18:18 สิ่งเหล่านี้อะไรอย่างเงี้ยครับงั้นแปล
00:18:18 → 00:18:21 ว่าจุดๆนี้พอเราไปถึงไ in now เนี่ยค่ะ
00:18:21 → 00:18:24 มันถึงเวลามคะว่าผู้ฟังอ่ะจะเริ่มสามารถ
00:18:24 → 00:18:28 แนะนำได้ละเริ่มคุยอาจจะไม่ใช้คำว่าแนะนำ
00:18:28 → 00:18:32 นะนะครับอาจจะใช้คำว่าช่วยกันคิดเ่ะ
00:18:32 → 00:18:36 เหมือนกับอเดินไปด้วยกันอ่าภาษาหมอเมหัว
00:18:36 → 00:18:39 ใจ 2 ดวงจังหวะเต้นตรงกันะ Heartbeat
00:18:39 → 00:18:42 Together แล้วมันเริ่มจังหวะมันเสมอกันะ
00:18:42 → 00:18:44 นี้มันจะคุยกันง่ายเพราะคลื่นมันตรงกัน
00:18:44 → 00:18:47 จังหวะมันตรงกันแล้วเราก็เข้าใจความ
00:18:47 → 00:18:50 ต้องการของสาเข้าใจจทางเลือกหมอก็จะไม่
00:18:50 → 00:18:53 เอาความต้องการของหมอหรืออ่าทางเลือกของ
00:18:53 → 00:18:55 หมอไปยัดเยียดให้สาเงี้ยครับมันจะพยายาม
00:18:55 → 00:18:58 ช่วยกันคุยแล้วสาก็รู้สึกว่าเอ้ยหมอเก็ท
00:18:58 → 00:19:00 หมอเขใจจังเลยอะไรอย่างเงี้ยครับแล้วมัน
00:19:00 → 00:19:03 จะทำให้ารู้สึกว่าเนี่ยาเลือกเองเป็น
00:19:03 → 00:19:05 เพราะาต้องการสิ่งเหล่านี้ที่มาที่ไปคือ
00:19:05 → 00:19:08 อย่างงี้ลึกๆที่สารู้สึกเสียใจที่สารู้
00:19:08 → 00:19:11 สึกน้อยใจเพราะว่าอะไรอืนะครับแล้วลึกึสา
00:19:11 → 00:19:14 ต้องการอะไรกันแน่เนี่ยสิ่งเหล่าเนี้ยไป
00:19:14 → 00:19:17 สามารถหาได้ที่ไหนเติมได้ที่ไหนอทำไมต้อง
00:19:17 → 00:19:19 เป็นคนข้างนอกที่ให้เท่านั้นหรือเรา
00:19:19 → 00:19:22 สามารถเติมตัวเองได้มอะไรอย่างเงี้ยครับ
00:19:22 → 00:19:26 ค่ะแล้วจุดๆเยค่ะมันพอจะจับสังเกตได้มยคะ
00:19:26 → 00:19:28 เพราะว่าในปัจจุบันน่ะค่ะบางทีเราเจอเนอะ
00:19:28 → 00:19:31 เนเพื่อนร่วมงานเดาอะไรเงี้ยค่ะอาจจะเกิด
00:19:31 → 00:19:33 ภาวะเบรน Out บ้างหรือว่าในเรื่องของอาจ
00:19:34 → 00:19:36 จะมีภาวะในเรื่องของซึมเศร้าอะไรเงี้ยค่ะ
00:19:36 → 00:19:39 จุดที่ 4 เนี่ยล่ะค่ะไอ Now เนี่ยมันจะ
00:19:39 → 00:19:41 สามารถพอจับสังเกตเพื่อนเราได้ไว่าเอ้ย
00:19:41 → 00:19:44 เขากำลังส่งสัญญาณอะไรบางอย่างมาให้เรา
00:19:44 → 00:19:47 แล้วนะอะไรอย่าเงี้ยเคนฟังที่ถึงจุดเคน
00:19:47 → 00:19:50 พูดเล่าเนี่ยคนเล่าเนี่ยมันจะเกิดพลัง
00:19:50 → 00:19:53 ครับมันจะเกิดพลังเพราะว่ามันเค้าเรกอะไ
00:19:53 → 00:19:56 ล่ะความรู้สึกความต้องการนี้เนี่ยมันอลาย
00:19:56 → 00:19:59 กันหมดมันเเห็นตัวเองเห็นที่ที่มาที่ไป
00:19:59 → 00:20:02 เข้าใจตัวเองเนี่ยมันจะเกิดพลังมันจะไม่
00:20:02 → 00:20:05 เกิดเอเนอจี้มันจะไม่สะเปะสะปะครับมันจะ
00:20:05 → 00:20:08 เกิดมีพลังมีความหวังรู้สึกว่าเรามีทิศ
00:20:08 → 00:20:11 ทางมีที่มาที่ไปมีเป้าหมายอย่างเงี้ยครับ
00:20:11 → 00:20:15 มันจะทำให้ชีวิตเเนี่ยมีทิศทางมีพลังเข้า
00:20:15 → 00:20:19 ใจตัวเองเข้าใจที่มาที่ไปเนาะเข้าใจคนรับ
00:20:19 → 00:20:21 ฟังว่าคนรับฟังเนี่ยมาจากแนวไหนเรามาจาก
00:20:21 → 00:20:24 แนวไหนความต่างกันของคนเล่าคนฟังเนี่ยอาจ
00:20:24 → 00:20:27 จะไม่เหมือนกันคือหมอไม่จำเป็นต้องเห็น
00:20:27 → 00:20:29 เหมือนสาหมอไม่จำเป็นต้องมีคุณค่าเดียว
00:20:29 → 00:20:32 กับสาก็ได้นะแต่ก็ต่างคนต่างให้เกียรติ
00:20:32 → 00:20:35 กันเคารพซึ่งกันและกันแล้วหมอก็เคารพสา
00:20:35 → 00:20:38 ว่าสามาอย่างนี้เลือกอย่างงนี้รู้สึก
00:20:38 → 00:20:40 อย่างนี้และสาจะไปแบบนี้แล้วมันจะเกิด
00:20:40 → 00:20:43 อะไรขึ้นอย่างเงี้ยครับมันจะเกิดความเป็น
00:20:43 → 00:20:46 เป็นมิตรนะครับการฝังมันจะรู้สึกเป็นมิตร
00:20:46 → 00:20:49 ไม่ถูกไม่ถูกล่วงล้ำไม่ถูกก้าวก่ารู้สึก
00:20:49 → 00:20:53 ปลอดภัยรู้สึกเซฟรู้สึกว่าพึ่งได้ถามได้
00:20:53 → 00:20:55 หมาอไม่ไปตำหนิไม่ตัดสินอะไรอย่างเงี้ย
00:20:55 → 00:20:58 ครับอืงั้นก็แปลว่าเราก็สามารถจะพยุง
00:20:59 → 00:21:01 เพื่อนคนนี้ได้ในส่วนหนึถ้าเกิดในช่วง
00:21:01 → 00:21:04 เวลาที่เกำลังกำลังดาวลงอะไรเงี้ยนะคะถ้า
00:21:04 → 00:21:07 เรารับฟังเจริงจังอะไรเงี้ยค่ะแต่คุณหมอ
00:21:07 → 00:21:09 อย่างที่เรามีกระบวนการพวกเยค่ะมันดูว่า
00:21:09 → 00:21:12 มันต้องใช้เวลานานมอ่ะการที่เราแบบนั่ง
00:21:12 → 00:21:17 ฟังคนๆนึงอืมันดูมันจะต้องเป็นแใช้เวลา
00:21:17 → 00:21:20 ประมาณเท่าไหร่ึงจะแบบเออเนอะฟังแล้วนะ
00:21:20 → 00:21:23 เราฟังด้วยหาใจฟังอย่างตั้งใจแต่บางคนอาจ
00:21:23 → 00:21:26 จะเล่ายาวเอ๊ะแล้วฉันจะตัดบทยังไงจริงๆ
00:21:26 → 00:21:28 ไม่ไม่นานพี่ผมิสาถามว่าคนเราเนี่ยฟังกัน
00:21:29 → 00:21:32 สักกี่นาทีที่บอกไม่ถึงนาทีนะครับแล้วจร
00:21:32 → 00:21:35 คนเราฟังประมาณสัก 5 นาที 5-6 วินาทีก็
00:21:35 → 00:21:38 เริ่มมีปฏิกิริยาแล้วนะครับนะคำว่านาน
00:21:38 → 00:21:41 มั้ยเนี่ยก็อาจจะใช้หลักเป็นแค่แค่นาที
00:21:41 → 00:21:43 เองนะครับหรือบางครั้งเนี่ยถ้าเราฝึก
00:21:43 → 00:21:46 ประจำเในการสนทนาแล้วเราก็จะเร็วมากว่า
00:21:46 → 00:21:50 เอ๊ะเาบอกอะไรเราเคให้ความหมายกับอะไร
00:21:50 → 00:21:53 อะไรอย่างเงี้ยนะครับนะถยกตัวอย่างเรื่อง
00:21:53 → 00:21:55 ส่วนตัวนิดหน่อยวันก่อนลูกชายหมอโดนหมา
00:21:56 → 00:21:59 กัดนะโดนหมามาขย่ำเล่นๆละไม่ได้กัดนะเก็
00:21:59 → 00:22:01 ร้องไห้แล้วเก็ประโยคแรกที่ก็บอกว่าเนี่ย
00:22:02 → 00:22:04 หมาตัวเนี้รู้จักเมาตั้ง 4-5 ปีแล้วทำไม
00:22:04 → 00:22:08 ยังมาขย่ำเอีกนะมันก็บอกบอกว่าถ้าฟังลึกๆ
00:22:08 → 00:22:10 ก็รู้ว่าอ๋อเาให้ความสำคัญกับความ
00:22:10 → 00:22:14 สัมพันธ์รู้จักกันมาแล้วทำไมยังมาทำเเจ็บ
00:22:14 → 00:22:16 อีกอะไรอย่าเงี้ยครับมันก็จะไอ้เนี้ยสิ่ง
00:22:16 → 00:22:18 ที่เขาเล่าเนี่ยมันก็บอกอะไรออกมาว่าเให้
00:22:18 → 00:22:22 ความหมายให้คุณค่ากับกับอะไรอะไรอย่าง
00:22:22 → 00:22:24 เงี้ยครับมันก็สามารถมี Listening ใน
00:22:24 → 00:22:27 ระดับที่ที่ลึกขึ้นอะไรอย่างเงี้ยครับ
00:22:27 → 00:22:30 หลักๆคือคนฟังจะรู้สึกว่า
00:22:30 → 00:22:33 อ่าฟังด้วยหัวใจนะเรู้สึกว่าเไม่ถูกตัด
00:22:33 → 00:22:38 สินเถูกยอมรับอ่าคนฟังเนี่ยให้เกียรติเขา
00:22:38 → 00:22:40 resp เขาว่าเขาคิดอย่างงี้รู้สึกอย่าง
00:22:40 → 00:22:44 งี้คือหมอก็อาจจะคำว่า resp หรือให้
00:22:44 → 00:22:47 เกียรติคือว่าก็ยอมรับว่าสาเสียใจยอมรับ
00:22:47 → 00:22:49 ว่าสางี่เง่านะน้อยใจคุณแม่ยกตัวอย่าง
00:22:49 → 00:22:52 อย่าเงี้ก็ไม่ได้ว่าอะไรก็ก็น้อยใจก็น้อย
00:22:52 → 00:22:55 ใจเสียใจก็เสียใจหมอก็ยอมรับหมอไม่ได้
00:22:55 → 00:22:58 ตำหนิว่าอายุป่านี้แล้วทำไมจะอย่างงั้น
00:22:58 → 00:23:00 อีกอะไรอย่างเงี้เราก็ยอมรับว่าเอมันมี
00:23:00 → 00:23:03 ที่มาที่ไปเพราะอะไรสาถึงน้อยใจเพราะอะไร
00:23:03 → 00:23:06 สาถึงเสียใจเนาะลึกๆสาอยากได้อะไรแล้ว
00:23:06 → 00:23:09 สิ่งเหล่าเนี้ยต้องได้จากคุณแม่มยได้จาก
00:23:09 → 00:23:11 คนอื่นได้มยเราเติมให้ตัวเองได้หรือเปล่า
00:23:11 → 00:23:13 มันจะทำให้คิดว่าสาว่ามันจะเกิดพลัง
00:23:13 → 00:23:16 เนี่ยยพลังมันมาจากข้างในนะครับคือตอนแรก
00:23:16 → 00:23:19 หษาบอกว่าเหมือนหมอช่วยประคองเนาะอันนี้
00:23:19 → 00:23:22 ได้ชั่วคราวแต่พลังที่จริงๆมันมาจากข้าง
00:23:22 → 00:23:25 ในนะครับนะมนุษย์เราเนี่ยมีศักยภาพมีพลัง
00:23:25 → 00:23:29 ได้เยอะมากนะครับเมื่อเขาสามารถจะมา
00:23:29 → 00:23:32 เข้าใจตนเองเค้าเรียกอายนะมันมันมาเรียง
00:23:32 → 00:23:35 เส้นกันแล้วเเห็นภาพว่าอ้อมีที่มีที่มา
00:23:35 → 00:23:38 ที่ไปมันมีทิศทางเนี่ยพลังมันมามาเองนะ
00:23:38 → 00:23:41 ครับเราไม่ต้องไปฉุดไม่ต้องไปช่วยนะมันจะ
00:23:41 → 00:23:44 ไปของมันเองแล้วเก็จะที่เไม่เบินเอาอเามี
00:23:44 → 00:23:48 พลังนะครับอืจริงๆแล้วการฟังด้วยหัวใจนี่
00:23:48 → 00:23:50 มันไม่ใช่แค่แบบว่าพยุงตัวคนอื่นแล้วมัน
00:23:50 → 00:23:53 พยุงตัวเราเองนะคะแล้วมันก็เหมือนการ
00:23:53 → 00:23:56 เรียนรู้ทิศทางของความถูกต้องด้วยเนอะว่า
00:23:56 → 00:23:59 ฟังแบบไหนคุณหมอคะแล้วในสส่วนของการฟัง
00:23:59 → 00:24:03 ด้วยหัวใจเนี่ยค่ะมันมีอะไรที่ต่อยอดมคะ
00:24:03 → 00:24:05 จากถ้าเราเริ่มอเราเริ่มฟังคนอื่นได้ะเรา
00:24:05 → 00:24:08 ควรจะเรียนรู้เรื่องอะไรต่อไปถ้าเรา
00:24:08 → 00:24:11 สามารถฟังได้อย่างลึกซึ้งเนาะฟังแล้วเข้า
00:24:11 → 00:24:13 ใจอีกฝ่ายนั้นต้องการอะไรหรือเขมีที่มา
00:24:13 → 00:24:16 ที่ไปยังไงเถึงต้องการสิ่งเหล่านี้เนี่ย
00:24:16 → 00:24:19 ครับนะต่อไปมันจะตามด้วยการสนทนาครับว่า
00:24:19 → 00:24:22 อ้าเราก็บอกได้ว่าอ๋อคุณอยากต้องการอัน
00:24:23 → 00:24:26 นี้ใช่มยอ่าเห็นว่าสิ่งนี้สำคัญใช่มย 1 2
00:24:26 → 00:24:29 3 เนี่ยครับเราเองในนักคู่สนทนานักคนี้
00:24:29 → 00:24:32 แบบเพื่อนร่วมงานหรือญาติพี่น้องอะไรก็
00:24:32 → 00:24:34 ตามเนี่ยเราก็สามารถมีความรู้สึกและความ
00:24:34 → 00:24:37 ต้องการได้เราก็สามารถแลกเปลี่ยนกันได้
00:24:37 → 00:24:40 แต่ด้วยความเคารพในความเป็นมนุษย์เคารพใน
00:24:40 → 00:24:43 ความแตกต่างนะครับนะให้เกียรติคือว่าให้
00:24:43 → 00:24:45 เกียรติมาใช้คำว่าอะไรเใช้คำว่ารักนะให้
00:24:45 → 00:24:48 เกียรติหรือเคารพเนี่ยหมาว่า 3 คำเนี้ย
00:24:48 → 00:24:51 มันคือคำเดียวกันนะครับเอาเข้าจริงๆแล้วเ
00:24:51 → 00:24:54 การความรักการให้เกียรติการเคารพคือการ
00:24:54 → 00:24:58 แบบยอมรับสาตามที่สาเป็นนะเป็นยังไงก็ก็
00:24:58 → 00:25:01 แบบนั้นหมอยอมรับได้หมอก็ยังยังเข้าใจยัง
00:25:01 → 00:25:03 เห็นอกเห็นใจยังเป็นเพื่อนกันต่ออย่าง
00:25:03 → 00:25:05 เงี้ยครับแล้วเดี๋ยวมันจะเกิดความรู้สึก
00:25:05 → 00:25:07 ที่ว่าเออเราต่างคนต่างเป็นมนุษย์เหมือน
00:25:07 → 00:25:09 กันเนี่ยมันจะสื่อสารกันว่าหมอก็มีความ
00:25:09 → 00:25:12 ต้องการเป็นไปได้มั้ยที่สาจะช่วยหรืออะไร
00:25:12 → 00:25:15 อย่างเงี้ยครับมันทำให้เกิดการร่วมมือนะ
00:25:15 → 00:25:18 ผลประโยชน์ของการสื่อสารกันคือทำให้เกิด
00:25:18 → 00:25:21 ความร่วมมือเห็นอกเห็นใจเข้าใจแล้วเกิด
00:25:21 → 00:25:24 การร่วมไม้ร่วมมือด้วยการเคารพกันด้วยการ
00:25:24 → 00:25:27 ให้เกียรติกันยอมรับในความต่างเห็นในความ
00:25:27 → 00:25:30 เหมือนนะเราสามารถมาสาลตรงไหนกันได้อัน
00:25:30 → 00:25:33 ไหนที่ต้องยอมรับว่าสาก็ไปทางของสาแบบ
00:25:33 → 00:25:35 นั้นหมอก็ก็โอเคหมอมีบางอย่างที่เป็น
00:25:35 → 00:25:39 เรื่องของหมอเราก็ไม่ไปอะไรไม่ไปไปดึงสา
00:25:39 → 00:25:41 ไปบังคับว่าต้องเป็นเห็นเหมือนกันทั้งหมด
00:25:41 → 00:25:43 อย่างเงี้ยครับแล้วมันจะก่อให้เกิดพลังใน
00:25:43 → 00:25:46 การร่วมมือกันระหว่าง 2 คน 3 คนแล้วก็
00:25:46 → 00:25:50 กลายเป็นคนจำนวนมากได้ครับออือแปว่าทุก
00:25:50 → 00:25:52 เรื่องเยค่ะการสื่อสารเป็นเรื่องสำคัญ
00:25:52 → 00:25:54 เนอะเรามีเหมือนอินเตอร์เซคกันเนอะว่าจุด
00:25:54 → 00:25:56 นี้แหละที่จะเป็นจุดร่วมทำให้เราเกิดความ
00:25:56 → 00:25:58 สามัคคคีความร่วมมือ
00:25:58 → 00:26:02 ดำนินานหรือการเกียกระในส่วนของครอบครัว
00:26:02 → 00:26:05 ก็ได้นะคะถ้าในส่วนท้ายทิ้งท้ายคุณหมอว่า
00:26:05 → 00:26:07 เรื่องการฟังด้วยหัวใจคุณหมอจะมีเหมือน
00:26:07 → 00:26:12 อะไรเป็นทิปสั้นๆที่อยากจะบอกไหคะถ้าสิ่ง
00:26:12 → 00:26:15 ประโยคที่หมอชอบคือ Listening มี love นะ
00:26:15 → 00:26:18 ครับถ้าเรารักใครเนี่ยเราจะฟังเขาได้นาน
00:26:18 → 00:26:21 พอครับไม่ยากครับเรื่องฟังจริงไม่ยากแต่
00:26:21 → 00:26:23 เป็นทักษะอันหนึที่ต้องฝึกแต่ว่าใน
00:26:23 → 00:26:26 ปัจจุบันเนี่ยเราจะไปติดเรื่องข้อมูลซะ
00:26:26 → 00:26:29 เยอะนะฟังเไม่ใช่ฟังแต่ข้อมูลที่หมอบอก
00:26:29 → 00:26:32 แล้วฟังสิ่งที่เขาไม่ได้พูดด้วยนะครับนะ
00:26:32 → 00:26:36 ฟังบริบทเบื้องหลังด้วยอสิ่งที่เขาพูดคือ
00:26:36 → 00:26:38 เนื้อความก็ต้องฟังแต่มันจะมีหลังเนื้อ
00:26:38 → 00:26:41 ความมันมีอะไรความรู้สึกความต้องการความ
00:26:41 → 00:26:46 โหยหามีคุณค่าสิ่งเห่านี้ออกมาในการสนทนา
00:26:46 → 00:26:49 หมดเลยนะครับและหมออยากจะย้ำว่ามันออกมา
00:26:49 → 00:26:51 ตลอดเวลาด้วยไม่ใช่ว่าไม่ออกมันออกมาตลอด
00:26:51 → 00:26:54 เวลาเอาล่ะในบบที่มันสั้นมากเราถามทาง
00:26:54 → 00:26:56 เนาะก็อาจจะแค่ว่าเออเราหลงทันเราถามทาง
00:26:57 → 00:27:00 มันก็ Just อันเพส information ก็ก็
00:27:00 → 00:27:03 information ครับก็หวังว่า podcast ใน
00:27:03 → 00:27:06 วันนี้นะคะการฟังด้วยหัวใจค่ะคงจะมี
00:27:06 → 00:27:08 ประโยชน์กับผู้ฟังทุกท่านนะคะสามารถนำไป
00:27:08 → 00:27:11 ปรับใช้ค่ะกับในชีวิตของครอบครัวนะคะ
00:27:11 → 00:27:14 ชีวิตการทำงานค่ะซึ่งในวันนี้นะคะสาขา
00:27:14 → 00:27:16 สิริพันธ์กระแสแสนนะคะแล้วก็คุณหมอหนุ่ม
00:27:16 → 00:27:19 ค่ะคุณหมอนันทวัฒน์สิทธิรัตน์ค่ะก็มาให้
00:27:20 → 00:27:22 ความรู้นะคะแล้วก็หวังว่าจะติดตามพ
00:27:22 → 00:27:25 podcast ของเรานะคะในต่อๆไปนะคะกับ
00:27:25 → 00:27:27 podcast ของสถาบันการเรียนรู้การสร้าง
00:27:27 → 00:27:29 เสริมสุขภาพค่ะ Thai Heal Academy
00:27:29 → 00:27:35 ขอบคุณ
00:27:35 → 00:27:38 ค่ะ Audio Jungle
00:27:38 → 00:27:42 [เพลง]